VEHICLES

ตลาดอีโคคาร์เบียดเก๋งเล็กอยู่หมัด สัดส่วนขยับเพิ่มกว่า 25% นิสสัน เล็งร่วมแจมเฟส 2
POSTED ON 19/11/2556


 

ข่าวยานยนต์ - นายประพัฒน์ เชยชม รองผู้จัดการใหญ่อาวุโสการตลาดและการขาย บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยถึงสถานการณ์อุตสาหกรรมยานยนต์ หลังจากทุกค่ายได้เร่งระบายสต๊อกด้วยการกระหน่ำแคมเปญส่งเสริมการขายในช่วงที่ผ่านมา คาดว่าในช่วงปลายปีนี้นับตั้งแต่งานมอเตอร์เอ็กซ์โปจนถึงต้นปีหน้า ตลาดรถยนต์น่าจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติจากยอดจองใหม่ ๆ หลังจากในปีที่ผ่านมาและปีนี้ที่มีโครงการรถคันแรกนั้น ทำให้กำลังซื้อมาจากกลุ่มลูกค้าที่ซื้อรถคันแรกกว่า 80% ส่วนผู้ที่ซื้อทดแทนและซื้อเพิ่มมีเพียง 20% แต่เมื่อตลาดกลับเข้าสู่ภาวะปกติ สัดส่วนจะเปลี่ยนเป็นการซื้อของกลุ่มผู้ซื้อทดแทนรถเก่า 45% ซื้อเพิ่ม 35% และซื้อเป็นรถคันแรก 20% และจากการที่ภาครัฐสนับสนุนการผลิตอีโคคาร์ด้วยการจัดตั้งโครงการอีโคคาร์เฟส 2 นั้น บริษัทมองว่าสัดส่วนของอีโคคาร์ในตลาดรถยนต์นั่งนั้นจากเดิมที่มีสัดส่วนประมาณ 25% หรือประมาณ 200,000 คัน จากตลาดรถยนต์นั่งประมาณ 700,000 คัน ก็จะค่อย ๆ ปรับเพิ่มขึ้น เนื่องจากผู้เล่นรายใหญ่ได้ส่งสินค้าเข้ามาในตลาดแล้ว เซ็กเมนต์ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ รถยนต์นั่งในกลุ่มบี-เซ็กเมนต์ หรือกลุ่มรถนั่งขนาดเล็ก เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีฐานลูกค้าใกล้เคียงกัน ปัจจุบันผู้ผลิตหลายรายก็มีการออกแบบอีโคคาร์ให้มีขนาดตัวถังที่ใหญ่ใกล้เคียงกับบี-คาร์มากขึ้น แต่มีราคาจำหน่ายที่ต่ำกว่า ขณะที่อีโคคาร์เองแม้จะใช้เครื่องยนต์ที่มีขนาดเล็กลง แต่ก็ยังมีประสิทธิภาพที่ดี ประหยัดน้ำมัน และมีออปชั่นต่าง ๆ ที่ครบครันไม่แพ้บี-คาร์ ทำให้ในระยะยาวตลาดรถยนต์บี-คาร์น่าจะมีสัดส่วนลดลงถูกกลืนโดยอีโคคาร์

 

ทั้งนี้ บริษัทก็มีความสนใจลงทุนในโครงการอีโคคาร์เฟส 2 และทุกค่ายต่างก็ให้ความสนใจที่จะเข้าร่วมโครงการ แต่ภาครัฐน่าจะมีการพัฒนาโครงการต่อยอดการลงทุนของผู้ผลิตในเฟสแรกให้มี

 

ความเป็นธรรม เพราะเมื่อมีอีโคคาร์เฟส 2 ที่เป็นโมเดลใหม่มีประสิทธิภาพดีขึ้น ประหยัดน้ำมัน และปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ลดลง ก็จะดึงดูดใจผู้ซื้อมากกว่าซึ่งในรายละเอียดการลงทุน ว่าจะเป็นการลงทุนใหม่ด้วยการผลิตรถโมเดลใหม่หรือลงทุนเพิ่มเติมนั้น ยังคงอยู่ในระหว่างการศึกษา เนื่องจากยังคงมีเวลาอีกระยะในการเตรียมความพร้อม แต่ในส่วนของยอดผลิตอีโคคาร์ที่ต้องผลิตให้ได้ 100,000 คันภายใน 5 ปีนั้น หากรวม 2 โมเดลทั้งนิสสัน มาร์ช และอัลเมร่าก็มียอดผลิตสูงกว่า 100,000 คันแล้ว แต่เมื่อในอนาคตผู้เล่นในตลาดทั้งรายเก่าและรายใหม่เพิ่มเข้ามา ซึ่งความต้องการในประเทศมีไม่เพียงพอนั้น ก็จะต้องมุ่งเน้นในการผลิตเพื่อส่งออกให้มากยิ่งขึ้น

 

"อีโคคาร์จะเติบโตได้อีกมาก 5 ค่ายแรกก็น่าจะสนใจที่จะเข้าร่วมต่อ ถ้า 5 ค่ายแรกจะลงทุนในเฟส 2 ก็ควรต้องมีโมเดลใหม่มาถึงจะคุ้มค่า แต่ก็ยังมีเวลาในการตัดสินใจว่าจะลงทุนแบบใด ในระหว่างนี้ก็ยังสามารถดูทิศทางตลาดและศึกษาไปก่อนได้" นายประพัฒน์กล่าว

 

สำหรับด้านผลิตภัณฑ์อื่น ๆ นั้น นิสสันถือว่ามีสินค้าเกือบครบทุกเซ็กเมนต์แล้ว โดยล่าสุดเตรียมที่จะเปิดตัวรถยนต์มินิครอสโอเวอร์ นิสสัน "จู๊ค" ในวันที่ 26 พฤศจิกายนนี้ ซึ่งเลื่อนกำหนดการมาเร็วขึ้นเล็กน้อย โดยรถดังกล่าวนั้นจะผลิตที่โรงงานนิสสันในประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งบริษัทมองว่าแม้เซ็กเมนต์ของนิสสัน จู๊ค จะไม่ได้มีกลุ่มลูกค้าที่ขนาดใหญ่มาก แต่ก็เชื่อว่ามีคนที่ชื่นชอบและต้องการรถดังกล่าว จึงน่าจะได้รับการตอบรับดี แต่การตั้งราคาจำหน่ายนั้นยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาความเหมาะสม และเมื่อรวมกับรถโมเดลใหม่ ๆ ของนิสสันที่เพิ่งเปิดตัวไป ก็คาดว่าในปีงบประมาณนี้จะมียอดขายกว่า 100,000 คันได้

 

ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ