SPECIAL FEATURES

ซีอีโอแห่ยกระดับทักษะแรงงานในองค์กร หวังปิดช่องว่างทางทักษะพร้อมเสริมสร้างนวัตกรรมและความไว้วางใจ
POSTED ON 15/07/2562


Tags : อุตสาหกรรม, ข่าวอุตสาหกรรม, สื่ออุตสาหกรรม, โรงงาน, เครื่องจักรกล, การผลิต, พลังงาน, โลจิสติกส์, Industry, Industrial, Industrial News, Industrial Media, Factory, Machinery, Machine, Manufacturing, Energy, Logistics

 

PwC เผยซีอีโอทั่วโลกหันมาให้ความสำคัญกับการเพิ่มพูนทักษะใหม่ให้กับแรงงาน แทนที่การเฟ้นหาทาเลนท์จากภายนอกอุตสาหกรรมมากขึ้น เพื่อปิดช่องว่างทางทักษะ พร้อมเสริมสร้างนวัตกรรมและความไว้วางใจของสาธารณชน ชี้องค์กรไทยประสบปัญหานี้ ไม่ต่างจากองค์กรทั่วโลก และเริ่มหันมาลงทุนด้านระบบบริหารทรัพยากรบุคคลและพัฒนาทักษะแรงงานเดิมมากขึ้น เพื่อช่วยให้บุคลากรสามารถทำงานร่วมกับเทคโนโลยีได้อย่างไร้รอยต่อ

 

นางสาว ภิรตา ภักดีสัตยพงศ์ หุ้นส่วนสายงานที่ปรึกษา บริษัท PwC ประเทศไทย เปิดเผยถึงรายงาน Talent Trends 2019: Upskilling for a Digital World ของ PwC ว่า 79% ของซีอีโอทั่วโลกที่ถูกสำรวจในปีนี้ แสดงความกังวลว่า การขาดแคลนทักษะแรงงานที่จำเป็นของพนักงานภายในองค์กร กำลังเป็นภัยคุกคามที่มีผลต่อการเติบโตขององค์กรในอนาคต เปรียบเทียบกับ 63% ในปี 2557 ซึ่งนี่เป็นข้อยืนยันว่า ความกังวลเกี่ยวกับทักษะได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น สอดคล้องกับการเข้ามาของเทคโนโลยีใหม่ๆในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา

 

ทั้งนี้ ปัญหาการขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะ ถือเป็นประเด็นความกังวลของผู้บริหารในทุกภูมิภาคทั่วโลก ยกตัวอย่าง เช่น ซีอีโอจากญี่ปุ่น (95%) และยุโรปกลางและตะวันออก (89%) แสดงความกังวลในประเด็นนี้มากที่สุด ในขณะที่ซีอีโอจากอิตาลี (55%) และตุรกี (45%) มีความกังวลเรื่องทักษะแรงงานน้อยที่สุด อย่างไรก็ตาม 55% ของบรรดาซีอีโอที่มีความกังวลมากที่สุด กล่าวว่า ธุรกิจของพวกเขาไม่สามารถสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และอีก 52% กล่าวว่า ต้นทุนค่าใช้จ่ายด้านแรงงานสูงขึ้นรวดเร็วกว่าที่คาดไว้

การเพิ่มพูนทักษะใหม่และเสริมสร้างทักษะเดิมที่มีอยู่กลายเป็นวาระสำคัญของซีอีโอทั่วโลก

ผลสำรวจพบว่า ซีอีโอกำลังปรับเปลี่ยนวิธีปิดช่องว่างทางทักษะความสามารถให้กับแรงงานของตน โดยเกือบครึ่ง (46%) ของซีอีโอทั่วโลกกล่าวว่า การฝึกอบรมทักษะเดิมที่มีอยู่และการเพิ่มพูนทักษะใหม่ กลายเป็นโครงการความคิดริเริ่มที่มีความสำคัญที่สุดต่อการปิดช่องว่างทางทักษะ ตรงข้ามกันกับผู้บริหารเพียง 18% ที่กล่าวว่า จะว่าจ้างแรงงานที่มีทักษะจากภายนอกอุตสาหกรรมของตน ซึ่งผลสำรวจในปีนี้ยังตรงข้ามกับผลจากการสำรวจในปีที่ผ่านๆ มา ที่ระบุว่า ซีอีโอกำลังมองหาแรงงานที่มีทักษะจากกลุ่มอุตสาหกรรมอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับนวัตกรรม และมีการจ้างแรงงานชั่วคราวจากภายนอก (Gig economy worker)

นางสาว แครอล สตับบิงส์ หัวหน้าร่วม สายงาน Global People & Organisation ของ PwC สหราชอาณาจักร กล่าวว่า"แม้ว่าการฝึกอบรมทักษะเดิมที่มีอยู่ให้กับพนักงานจะต้องอาศัยการลงทุน แต่เมื่อเทียบกับทางเลือกอื่นๆ เช่น การจ่ายเงินชดเชยให้กับพนักงานที่ถูกปลด และต้นทุนในการเฟ้นหาพนักงานใหม่ที่มีทักษะที่กำลังเป็นที่ต้องการ มองว่า การฝึกอบรมทักษะเดิมที่มีอยู่เป็นทางเลือกที่น่าสนใจกว่า"

 

ทั้งนี้ การให้ความสำคัญกับการปรับปรุงทักษะเดิมที่มีอยู่ของพนักงาน ยังเป็นที่ต้องการของพนักงานด้วย โดยผลจากการสำรวจพนักงานทั่วโลกจำนวนกว่า 12,000 รายพบว่า พนักงานยินดีที่จะใช้เวลา 2 วันต่อเดือนในการเข้าฝึกอบรมเพื่อยกระดับทักษะทางด้านดิจิทัลของตนจากนายจ้าง

ปรับสมดุลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของงาน และสร้างความไว้วางใจ

ผลสำรวจยังชี้ด้วยว่า การหันมาให้ความสำคัญกับการเพิ่มพูนทักษะใหม่นั้น เกิดขึ้นหลังจากการเพิ่มขึ้นของการใช้ระบบออโตเมชันและเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ เอไอ (Artificial Intelligence: AI) โดยแม้ว่าเทคโนโลยีเกิดใหม่เหล่านี้ จะเข้ามาแทนที่พนักงานบางตำแหน่งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ความคิดเห็นของซีอีโอกลับแตกต่างกันไปตามขนาดและความรวดเร็วของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนั้นๆ

 

อย่างไรก็ดี สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนที่พบจากผลสำรวจคือ การลงทุนในการเพิ่มพูนทักษะทางด้านดิจิทัลนั้น เป็นแค่ส่วนหนึ่งของสิ่งที่จำเป็นต่อการสร้างแรงงานในอนาคต (Workforce of the future) เพราะการจะทำให้พนักงานมีส่วนร่วมในการมีทักษะใหม่ๆ ต้องอาศัยการมีวัฒนธรรมการเรียนรู้ขององค์กรที่แข็งแกร่ง ที่ถูกผนวกเข้าไปกับสถานที่ทำงานที่มีคุณภาพสูงอย่างแยกออกจากกันไม่ได้

 

"นายจ้างต้องเติมเต็มความต้องการของการสร้าง 'ผลงานที่ดี' ให้เพิ่มขึ้น โดยต้องสร้างประสบการณ์ที่เติมเต็มและมีคุณค่าสูงให้กับพนักงาน ซึ่งแม้เทคโนโลยีจะนำมาซึ่งโอกาสในการเพิ่มประสิทธิภาพและการบริหารต้นทุน แต่ก็นำมาซึ่งโอกาสในการทำให้ชีวิตการทำงานมีคุณค่าและมีความหมายมากขึ้นด้วย" นางสาว แครอล กล่าว

 

ฉะนั้นในการที่องค์กรจะสร้างผลงานที่ดีได้ จำเป็นที่จะต้องมีข้อมูลที่เกี่ยวกับแรงงานที่มีคุณภาพสูง โดยในขณะที่ 86% ของซีอีโอกล่าวว่า ข้อมูลของคนที่ถูกต้องมีความสำคัญ แต่ผลสำรวจพบว่า มีเพียง 29% เท่านั้นที่เชื่อว่า ข้อมูลที่พวกเขาได้รับอยู่ในปัจจุบันนั้นเพียงพอแล้ว

 

ซีอีโอยังตระหนักว่า ผลกระทบของระบบออโตเมชันต่อแรงงานภายในองค์กรนั้น มีผลต่อการสร้างความไว้วางใจของสาธารณชน โดยครึ่งหนึ่งของผู้ตอบแบบสอบถามเห็นว่า การขาดความไว้วางใจในธุรกิจ ถือเป็นภัยคุกคามต่อการเติบโตขององค์กร และพวกเขารู้ว่า วิธีที่พวกเขาใช้จัดการกับระบบออโตเมชันจะเป็นบททดสอบความไว้วางใจของสาธารณชน

ซึ่งในประเด็นนี้ ซีอีโอยังมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันถึงความรับผิดชอบต่อการถูกแทนที่ด้วยระบบออโตเมชันและเอไอของพนักงานว่าควรตกเป็นของใคร โดย 66% ของซีอีโอเชื่อว่า รัฐบาลควรจัดให้มีสิ่งจูงใจเพื่อให้เกิดการพัฒนาและใช้เอไอ ในขณะที่ 56% คิดว่า รัฐบาลควรจัดให้มีมาตรการคุ้มครองพนักงานที่ถูกแทนที่ด้วยเทคโนโลยี ซึ่งประเด็นนี้ยังมีข้อที่ต้องถกเถียงอีกมาก

ด้านนาย ภูชาน เสธิ หัวหน้าร่วม สายงาน Global People & Organisation PwC สหรัฐอเมริกา กล่าวว่า"รูปแบบของสถานที่ทำงานกำลังถูกปรับเปลี่ยนไปจากรูปแบบเดิมๆ ที่มีอยู่มานานหลายสิบปี และกำลังเข้าสู่ช่วงเวลาของการเปลี่ยนแปลงอย่างทันทีทันใดโดยไม่มีจุดสิ้นสุดที่แน่นอน ดังนั้น องค์กรจะต้องเผชิญกับอุปสรรคมากมายในการเดินไปสู่ความสำเร็จ รวมถึงการสร้างและคงไว้ซึ่งความไว้วางใจ อันจะเป็นกุญแจสำคัญทั้งต่อตัวพนักงานเอง และภาครัฐ รวมไปถึงสังคมโดยรวมด้วย"