SPECIAL FEATURES

โอกาสอุตสาหกรรมไทยหลังเข้าสู่เออีซี
POSTED ON 07/10/2557


 

เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2557 ที่ผ่านมา สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย หรือ ทีดีอาร์ไอ จัดสัมมนาเรื่อง “อยู่หรือไป อนาคตอุตสาหกรรมไทยหลังการเข้าสู่ประชาเศรษฐกิจอาเซียน” ณ โรงแรมสวิสโซเทล เลอคองคอร์ท โดยมีการนำเสนอผลการศึกษาโครงการวิจัย “การเพิ่มขีดความสามารถภาคอุตสาหกรรม ภายใต้นโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศของไทย (ระยะที่ 5) เพื่อศึกษาผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมไทยและแนวทางในการช่วยเหลือให้ผู้ประกอบการสามารถปรับตัวตามความท้าทายของการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนได้อย่างทันท่วงที

 

ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย กล่าวว่า ปัจจุบันไทยกำลังอยู่ภายใต้สิ่งแวดล้อมทางเศรษฐกิจใหม่ มีการรวมกลุ่มในประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนเกิดขึ้นแล้วในความเป็นจริงก่อนที่จะเปิดอย่างเป็นทางการในปี 2558 โดยภาครัฐยังปรับตัวเข้าสู่เออีซีช้ากว่าภาคเอกชน มีอุปสรรคเกี่ยวกับกฎระเบียบต่างๆ และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานยังไม่สามารถพัฒนาได้ทัน เป็นปัญหาต่อการเข้าสู่เออีซีของภาคเอกชน จะทำให้เอกชนของไทยเสียโอกาสการแข่งขัน 

 

ที่ผ่านมา มีความตกลงทางการค้าเกิดขึ้นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น FTA WTO TPP และเทรนด์ใหม่ที่เกิดขึ้นตอนนี้คือ MEGA FTA Blocs เป็นการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจขนาดใหญ่ข้ามภูมิภาค ยุโรปและอเมริกากำลังเดินหน้าความตกลงกรอบการค้าเสรีระหว่างกันเป็น Blocs FTA ที่ใหญ่ที่สุดในโลก

 

อย่างไรก็ตาม การเจรจาการค้าระหว่างประเทศแม้จะมีความล่าช้า แต่หากเกิดขึ้นจะเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ และหากไทยตกขบวนไปจะเป็นการเสียโอกาสอย่างน่าเสียดาย ซึ่งปัจจุบันไทยอยู่ในกลุ่มความตกลงขนาดใหญ่ความตกลงเดียวคือ ASEAN+6 

 

การรวมตัวในประชาคมอาเซียนที่เกิดขึ้นแล้วในความเป็นจริงนั้นทำให้เกิดการเชื่อมโยงด้านการค้า การลงทุน การเคลื่อนย้ายแรงงาน แม้ยังเหลืออุปสรรคหลายเรื่องทั้งด้านภาษีและไม่ใช่ภาษี การขนส่ง พิธีการศุลกากร เป็นช่องว่างที่ยังทำให้เชื่อมโยงกันไม่ได้ดีนัก

 

เสน่ห์ของเออีซีคือมีโอกาสเข้าถึงตลาดที่มีขนาดใหญ่ขึ้นอีกเกือบ 10 เท่า มีแรงงานที่มีจำนวนมากขึ้นอีก 9 เท่า โอกาสเข้าถึงทรัพยากรธรรมชาติและพลังงานหลายชนิด ทำให้มีนักลงทุนเข้ามาลงทุนในอาเซียนอย่างก้าวกระโดด โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศ CLMV ซึ่งญี่ปุ่นถึงกับมียุทธศาสตร์การลงทุนที่เรียกว่า Thailand+1 บริษัทญี่ปุ่นเริ่มขยายฐานการผลิตสิ้นส่วนที่ใช้แรงงานเข้มข้นไปประเทศกัมพูชาและลาว โดยแรงจูงใจสำคัญในการย้ายฐานการผลิตคือ เรื่องค่าจ้างแรงงาน ในประเทศเพื่อนบ้านที่ถูกกว่าไทย และมีกำลังแรงงานเพียงพอ รวมถึงการอยู่ใกล้กับฐานการผลิตและการส่งออกของไทยโดยการขนส่งทางถนน  

 

ขณะที่ไทยเริ่มใช้ยุทธศาสตร์การค้าที่เรียกว่า ASEAN AS ONE เริ่มมีอุตสาหกรรมไทยเข้าไปลงทุนในกลุ่มประเทศอาเซียนหลายรูปแบบทั้งการเป็นเจ้าของเองทั้งหมด การร่วมทุน และจ้างผลิต เช่น ในอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม โดยประเทศที่มีการเข้าไปลงทุน อาทิ กัมพูชา ลาวเวียดนาม และในอนาคตน่าจะเป็นพม่า

 

นายณัฐวุฒิ ลักษณาปัญญากุล แจกแจงรายละเอียดความท้าทายของอุตสาหกรรมไทยในการเชื่อมโยงภายในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้นมีหลายประการ เช่น ประเทศ CLMV จะลดภาษีศุลกากรตามที่ไดผูกพันไวหรือไม่ ความตื่นตัวของผู้ประกอบการในการใช้ประโยชน์ทางภาษีที่ลดลงและการทำตลาดเชิงรุก บทบาทภาครัฐในการนำระบบการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเอง (Self-certification) มาใช้อย่างเต็มรูปแบบ เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ รวมถึงการพัฒนาคลังข้อมูลเกี่ยวกับกฎระเบียบด้านการค้าของแต่ละประเทศ (National trade repository) การนำระบบศุลกากรอิเล็กทรอนิกส์ ณ จุดเดียวมาใช้อย่างแพร่หลาย ความพร้อมของด่านชายแดน  ปัญหาคอร์รัปชั่นของเจ้าหน้าที่ประจำด่านชายแดน การร่วมมืออย่างจริงจังของแต่ละประเทศในการอำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้า การจัดหางบประมาณในการก่อสร้างและซ่อมบำรุงระบบคมนาคมขนส่ง

 

ขณะที่ทางด้าน นายสุนทร ตันมันทอง ได้นำเสนอกรณีศึกษาอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน โดยชี้ให้เห็นว่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ไทยมีบทบาทมากขึ้นในการผลิตชิ้นส่วนและป้อนให้แก่แหล่งผลิตรถยนต์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยไทยและอินโดนีเซียได้ก้าวขึ้นเป็นผู้ผลิตขนาดใหญ่ในภูมิภาค ซึ่งอุตสาหกรรมยานยนต์ในอาเซียนมีโอกาสเติบโตมากขึ้นในอนาคต จากโครงการ Eco car II ของไทย และอาจเพิ่มกำลังการผลิตได้อีกประมาณ 1.5 ล้านคัน

 

ส่วนโครงการ Low Cost Green Car project (LCGC) ของอินโดนีเซีย ตั้งแต่ปี2556 เพิ่มยอดขายรถยนต์ในอินโดนีเซียได้ประมาณ 1 แสนคันต่อปี (GAIKINDO) ซึ่งจะเพิ่มอุปสงค์ต่อชิ้นส่วนฯ จากกัมพูชา เนื่องจากฐานการผลิตในกัมพูชารับยอดคำส่งผลิตที่ล้นเกินจากกำลังการผลิตในไทย และอาจรับจากเวียดนาม อินโดนีเซีย และพิลิปปินส์ เป็นต้น ขณะที่เมียนมาร์อาจเป็นฐานการผลิตต่อไป  

 

บทบาทใหม่ของไทยในเครือข่ายการผลิตรถยนต์ของอาเซียน คือการเป็น linkage เชื่อมโยงวัตถุดิบ และชิ้นส่วนประกอบโดยส่งการผลิตชิ้นส่วนที่ใช้ทักษะไม่สูงและต้องใช้แรงงานมากไปยังฐานผลิตกัมพูชา และลาว มีการแลกเปลี่ยนชิ้นส่วนส่งกลับมาประกอบและส่งออกในไทยซึ่งมีโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อมมากกว่า เชื่อมโยงเครือข่ายการบริหารจัดการ รับหน้าที่บริหารจัดการเครือข่ายการผลิตในอนุภูมิภาค การเป็นผู้ฝึกอบรมและระบบบริหารจัดการผลิต เป็นต้น

 

ดร.เชษฐา อินทรพิทักษ์ นำเสนอกรณีศึกษาอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม โดยระบุว่า โครงข่ายการผลิตที่เกิดขึ้นในปัจจุบันและแนวโน้มต่างๆ ในอุตสาหกรรม สะท้อนถึงความเร่งด่วนที่อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มไทยต้องให้ความสำคัญกับเรื่องการเป็นผู้ผลิตเครื่องนุ่งห่มที่ต้องใช้ทักษะสูงและให้ความสําคัญของการทํา lean manufacturing เป็นสิ่งจำเป็น 

 

กลุ่มเอสเอ็มอีต้องเร่งปรับตัว เพิ่มบทบาทในการบริหาร/จัดการโครงข่ายการผลิต หัวใจสำคัญของอุตสาหกรรมสิ่งทอ/เครื่องนุ่งหนุ่มคือการทำวิจัยและพัฒนา โดยเฉพาะการพัฒนา brand ในระดับลึก และการพัฒนาตลาด technical/functional/eco textiles ในอนาคตอาจตต้องมีกิจกรรมในลักษณะ trading business มากขึ้น  

 

อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าจะมีผู้ประกอบการบางส่วนที่สามารถอัพเกรด มีการพัฒนาและแก้ปัญหาในด้านต่างๆ ได้ดีจะอยู่รอดได้ในตลาดเออีซี ขณะที่บางส่วนอาจย้ายฐานการผลิตไปประเทศรอบข้างที่มีแรงงานและค่าจ้างถูกกว่า 

 

ข้อเสนอสำหรับผู้ผลิตเครื่องนุ่งห่มไทย คือ ด้านการผลิตต้องให้น้ำหนักกับผลิตภัณฑ์ที่ต้องใช้ทักษะสูงและมีมูลค่าสูง มีการปรับปรุงประสิทธิภาพการถ่ายทอดความรู้จากผู้ผลิตรายใหญ่ให้รายเล็ก การปรับตัวและเร่งหาทางออกของกลุ่มเอสเอ็มอี ขณะที่ในด้านการบริหารจัดการนั้นผู้ผลิตเครื่องนุ่งห่มไทยต้องพัฒนาตนเองเป็นผู้เสนองานแบบ Full-package service ไม่ใช่เป็นเพียงผู้รับการสั่งผลิต ต้องพัฒนาระบบการผลิตและการบริหารงานให้เป็นมาตรฐาน เพื่อสามารถนำไปใช้ในการผลิตในประเทศอื่นที่ค่าแรงยังไม่แพง และอัพเกรดอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มด้วยการวิจัยและพัฒนาโดยเน้นด้านวัสดุศาสตร์ การมีระบบ patent ที่ดี การมีห้องทดสอบโดยเฉพาะ spinning pilot plant การพัฒนาบุคลากรที่มีความรู้ด้านเทคนิคสิ่งทอ รวมถึงแก้ไขกฎระเบียบเกี่ยวกับอุตสาหกรรมฟอกย้อม เป็นต้น 

 

ขณะที่ประเทศในกลุ่ม CLMV โดยเฉพาะกัมพูชา ลาว เวียดนาม จะมีบทบาทหลักในฐานะผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ที่ใช้แรงงานเข้มข้น แต่เมื่อค่าแรงปรับตัวสูงขึ้นก็จะย้ายไปเมียนมาร์ ในด้านตลาดก็ต้องแก้ไขปัญหาด้านแรงงานและค่าจ้าง การปรับปรุงระบบขนส่ง คมนาคม และพิธีการศุลกากร และปรับปรุงการทำงานของหน่วยงานภาครัฐให้มีประสิทธิภาพ

 

ดร.สมเกียรติ กล่าวเพิ่มเติมในตอนท้ายว่า ท่ามกลางสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจใหม่นี้ จะเห็นรูปแบบของการผลิตแบบเครือข่ายกระจายการผลิตไปในประเทศต่างๆ ดังนั้น สิ่งที่ไทยและผู้ประกอบการไทยต้องเปลี่ยน คือ ต้องไม่เน้นการผลิตอย่างเดียว แต่ต้องยกระดับไปเป็นผู้จัดการเครือข่ายการผลิต (Network Manager)

 

"อุตสาหกรรมไทยต้องขยายการมองตลาดและฐานการผลิตไปยังประเทศเพื่อนบ้านอาเซียนและประเทศที่ไกลออกไป และในระยะยาวไทยควรพัฒนาตนเองจากประเทศที่เน้นการผลิตตามการว่าจ้างเป็น Trading Nation เน้นกิจกรรมการผลิตที่มีมูลค่าเพิ่มสูง เช่น การวิจัยและพัฒนา การออกแบบ และการตลาด มีความสามารถในการบริหารเครือข่ายการผลิตโลจิสติกส์และการตลาด รวมถึงต้องปรับโครงสร้างพื้นฐานและกฎระเบียบให้รองรับจึงจะสร้างโอกาสที่ดีของไทยในเออีซีได้" ดร.สมเกียรติ กล่าวในตอนท้าย