MOVEMENT NEWS

นายกรัฐมนตรีเข้าร่วมการประชุมผู้นำหุ้นส่วนเพื่อการเจริญเติบโตสีเขียวและเป้าหมายโลกปี 2030 (P4G) ครั้
POSTED ON 04/06/2564


 

 

นายกรัฐมนตรีเข้าร่วมการประชุมผู้นำหุ้นส่วนเพื่อการเจริญเติบโตสีเขียวและเป้าหมายโลกปี 2030 (P4G) ครั้งที่ 2 หารือการฟื้นฟูจากโควิด-19 เพื่อการเจริญเติบโตที่สมดุลและยั่งยืน

นายกรัฐมนตรีผลักดันโมเดลเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียวและการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาอย่างสมดุลยั่งยืนและการฟื้นฟูสีเขียวในการประชุมระดับผู้นำกรอบหุ้นส่วนเพื่อการเจริญเติบโตสีเขียว และเป้าหมายโลกปี ค.ศ. 2030 ครั้งที่ 2 ผ่านระบบทางไกล จัดโดยเกาหลีใต้

เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2564 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเข้าร่วมการประชุมระดับผู้นำกรอบหุ้นส่วนเพื่อการเจริญเติบโตสีเขียวจากเป้าหมายโลกปี ค.ศ. 2030 (Partnering for Green Growth and Global Goals 2030: P4G) ครั้งที่ 2 ผ่านระบบวีดิทัศน์แบบถ่ายทอดสด ในฐานะแขกของนายมุน แช-อิน ประธานาธิบดีสาธารณรัฐเกาหลี (เกาหลีใต้) เพื่อหารือเกี่ยวกับแนวทางการฟื้นฟูจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) โดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมเพื่อการเจริญเติบโตที่สมดุลและยั่งยืนโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง พร้อมย้ำให้ทุกประเทศดำเนินการตามพันธกรณีระหว่างประเทศด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนภายในปี 2573 (ค.ศ. 2030)

การประชุมดังกล่าวจัดขึ้นภายใต้หัวข้อหลัก “การฟื้นฟูสีเขียวอย่างครอบคลุมเพื่อนำไปสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน” (Inclusive Green Recovery towards Carbon Neutrality) โดยที่ประชุมได้หารือใน 3 ประเด็นสำคัญ ได้แก่ การฟื้นฟูสีเขียวจากโควิด-19 ความพยายามของประชาคมระหว่างประเทศเพื่อนำไปสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2593 (ค.ศ. 2050) การเสริมสร้างหุ้นส่วนระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชนเพื่อดำเนินการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวสุนทรพจน์ย้ำความสำคัญใน 4 ประเด็น ได้แก่ (1) การฟื้นฟูจากวิกฤตโควิด-19 ที่ส่งเสริมการเจริญเติบโตที่สมดุลและยั่งยืน และสอดคล้องกับการบรรลุ SDGs (2) การนำเสนอหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและโมเดลเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green (BCG) Economy Model) เป็นวิถีทางไปสู่การเติบโตที่สมดุลและไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง โดยส่งเสริมการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนด้วยการขับเคลื่อนผ่านกลไกจตุภาคี ซึ่งประกอบด้วยภาครัฐ ภาคเอกชน ภาควิชาการ และภาคประชาชน (3) การส่งเสริมความร่วมมือและการดำเนินการตามพันธกรณีระหว่างประเทศด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยไทยอยู่ระหว่างยกร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การกำหนดมาตรฐานราคาของคาร์บอนเครดิตที่เป็นธรรม รวมถึงตั้งเป้าปลูกต้นไม้ยืนต้นร้อยล้านต้น และ (4) การส่งเสริมความร่วมมือแลกเปลี่ยนเรียนรู้องค์ความรู้ต่างๆ และเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อให้เกิดการเติบโตสีเขียว รวมทั้งในช่วงการเป็นเจ้าภาพเอเปคของไทยในปี 2565