MOVEMENT NEWS

มจธ.เปิดตัวสถานีชาร์ตรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า
POSTED ON 22/10/2558


 

เมื่อวันที่ 19 ต.ค.2558 ที่ผ่านมา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) ได้จัดงานเปิดตัว "สถานีประจุไฟฟ้า" (Electric Motorcycle Charging Station) ภายใต้โครงการศึกษาความเป็นไปได้ในการส่งเสริมการผลิตและใช้จักรยานยนต์ไฟฟ้าและยานยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็ก ณ บริเวณด้านหน้าสำนักงานอธิการบดี โดยมี "รศ.ดร.ศักรินทร์ ภูมิรัตน" อธิการบดี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) เป็นประธานเปิดสถานีประจุไฟฟ้าดังกล่าว ทั้งยังได้รับเกียรติจาก "นายภัทรพงศ์ เทพา" ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารงานวิจัยและพัฒนา การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ร่วมแสดงความยินดี

 

ผศ.ดร.ยศพงษ์ ลออนวล หัวหน้าโครงการ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี เปิดเผยว่า โครงการดังกล่าว เป็นความร่วมมือกัน 4 หน่วยงาน ประกอบด้วย มหาวิทยาลัยขนแก่น, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต, ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งขาติ (MTEC) และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี โดยได้รับการสนับสนุนจากโครงการร่วมสนับสนุนทุนวิจัยและพัฒนา การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ซึ่งนับเป็นครั้งแรกของไทยที่มีการศึกษาเกี่ยวกับรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าและยานยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กแบบบูรณาการ เพื่อทำการศึกษาและรวบรวมข้อมูลจากการทดสอบใช้จริงจากผู้ที่ใช้รถจักรยานยนต์ในชีวิตประจำวัน และจัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อนำเสนอต่อหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งข้อมูลที่ใช้ในการเตรียมความพร้อมสำหรับผู้ผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าต่อไป

 

โดยทางโครงการฯได้มีการดำเนินการติดตั้งสถานีประจุไฟฟ้าของรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าขึ้นใน 3 พื้นที่ แห่งแรกที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น ติดตั้งไปเมื่อเดือน ก.ย.2558 ที่ผ่านมา แห่งที่ 2 บริเวณด้านหน้าอาคารสำนักงานอธิการบดี มจธ. และกำลังจะเปิดอีกแห่งขึ้นที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต เป็นแห่งที่ 3

 

ขณะที่ทาง MTEC จะเข้ามาช่วยในการประเมินความคุ้มค่าด้านเศรษฐศาสตร์ สาเหตุที่เลือกทดสอบกลุ่มรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าเพราะเห็นว่าปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ใช้รถจักรยานยนต์ถึง 20 ล้านคัน แต่มีผู้ใช้รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าไม่ถึงร้อยละ 1 หรือคิดเป็นสัดส่วนแล้วไม่ถึง 10,000 คัน ทำให้เกิดคำถามว่าทำไมรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าจึงไม่ได้รับความนิยม โดยโครงการฯจะนำรถที่มีขายอยู่ในตลาดให้ผู้เข้าร่วมโครงการได้ทดลองใช้จริง เพื่อเก็บข้อมูลการใช้งาน ความต้องการและความพึงพอใจ ซึ่งจะนำไปสู่การปรับปรุงพัฒนาและการเพิ่มประสิทธิภาพของยานยนต์ไฟฟ้าต่อไป

 

วัตถุประสงค์สำคัญของโครงการฯ มีทั้งหมด 6 หัวข้อหลัก ได้แก่ (1) เพื่อทดสอบและเก็บข้อมูลการใช้งานจริงของรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า และสำรวจทัศนคติของผู้ร่วมทดสอบ (2) เพื่อประเมินพฤติกรรมการใช้รถจักรยานยนต์ของผู้ใช้จักรยานยนต์ในกลุ่มต่างๆ และผู้ขับขี่ยานยนต์ขนาดเล็ก โดยเน้นรถรับจ้างสาธารณะ รวมทั้งสาเหตุที่รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าและยานยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กยังไม่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในประเทศไทย โดยการใช้แบบสำรวจความคิดเห็นและให้มีการทดสอบรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าและรถตุ๊กตุ๊กไฟฟ้า

 

(3) เพื่อรับฟังความคิดเห็น ความพึงพอใจและข้อจากัดของการใช้จักรยานยนต์ไฟฟ้าจากกลุ่มผู้ใช้ที่ได้ทดลองขับขี่จักรยานยนต์ไฟฟ้า รวมทั้งความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้อง เพื่อหามาตรการในการส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าอย่างแพร่หลาย (4) เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพของรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าและยานยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กให้เหมาะสมต่อการใช้งานของผู้ใช้ในหลายกลุ่มต่างๆ เพิ่มมากขึ้น (5) เพื่อประเมินผลกระทบในด้านเศรษฐศาสตร์ พลังงานและสิ่งแวดล้อม หากมีการขยายตัวของการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กและจักรยานยนต์ไฟฟ้าอย่างแพร่หลาย ในกรณีศึกษาต่างๆ และ (6) เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ รวมทั้งจัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบายพร้อมมาตรการต่างๆ เพื่อให้เกิดอุตสาหกรรมการผลิตและส่งเสริมการใช้รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าและยานยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กให้แพร่หลายต่อไป

 

ด้าน ดร.ปิยธิดา ไตรนุรักษ์ นักวิจัยโครงการฯ มจธ. เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้มีการสำรวจความพึงพอใช้ของผู้ใช้ 2 กลุ่มหลักๆ กลุ่มแรกคือบุคลากรและนักศึกษาในมหาวิทยาลัย และกลุ่มที่สองคือ กลุ่มผู้มีอาชีพขับจักรยานยนต์รับจ้าง สำหรับข้อมูลที่เก็บประกอบไปด้วยการสำรวจความคิดเห็นของผู้ใช้จักรยานยนต์ทั่วไปว่ามีความคิดเห็นอย่างไรต่อจักรยายนต์ไฟฟ้า ซึ่งระหว่างการสำรวจได้มีการเปิดโอกาสให้ผู้แสดงความคิดเห็นได้ทดลองขับจักรยานยนต์ไฟฟ้าระยะสั้นๆ ภายในมหาวิทยาลัย

 

ผลจากการสำรวจ พบว่า กลุ่มที่เป็นบุคลากรและนักศึกษาในมหาวิทยาลัย 100 ตัวอย่าง ส่วนใหญ่ใช้รถจักรยานยนต์ประมาณ 6-10 กิโลเมตรต่อวัน คิดเป็นค่าเชื้อเพลิงประมาณ 100-200 บาทต่อสัปดาห์ ซึ่งเมื่อทดลองขับรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าในระยะสั้นๆ พบว่า ยังไม่พึงพอใจในเรื่องระยะเวลาในการประจุไฟฟ้า เนื่องจากต้องใช้เวลานานถึง 6-8 ชั่วโมงต่อการชาร์ตแต่ละครั้ง แม้จะมีอัตราการประหยัดเชื้อเพลิงที่มากกว่ารถจักรยานยนต์ทั่วไป คือ รถจักรยานยนต์ไฟฟ้ามีค่าใช้จ่ายเพียง 10 สตางค์ต่อกิโลเมตร ในขณะที่รถมอเตอร์ไซด์ทั่วไปมีค่าใช้จ่าย 90 สตางค์ต่อกิโลเมตร

 

นอกจากนี้ ยังไม่พึงพอใจในเรื่องความเร็วถูกจำกัดสูงสุดเพียง 50-60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ตำแหน่งการนั่งของผู้ขับขี่ยังไม่ตอบโจทย์มากนัก และยังมีความกังวลใจในเรื่องของราคารถที่สูงกว่ารถจักรยานยนต์ทั่วไป และค่าเสื่อมของแบตเตอรี่ทุกๆ 2-3 ปี

 

ทั้งนี้ มีความใกล้เคียงกับผลการสำรวจของกลุ่มผู้มีอาชีพขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้าง 50 ตัวอย่าง ซึ่งโดยเฉลี่ยมีระยะการขับขี่ประมาณ 150 กิโลเมตรต่อวัน และมีค่าเชื้อเพลิงอยู่ที่ประมาณ 100 บาทต่อคนต่อวัน โดยประมาณ ซึ่งกลุ่มนี้มีความกังวลในเรื่องของระยะเวลาการประจุไฟฟ้าเข้าแบตเตอรี่มากที่สุด เนื่องจากใช้เวลานาน ไม่สะดวกต่อการประกอบอาชีพ อีกทั้งยังมีอัตราการเร่งที่จำกัด ไม่สะดวกต่อการทำเวลาในการรับส่งผู้โดยสาร ไม่ตอบโจทย์ในเรื่องความเร็ว ซึ่งร้อยละ 50 ของกลุ่มผู้มีอาชีพนี้ระบุว่า หากต้องเปลี่ยนรถใหม่อาจจะตัดสินใจซื้อ เพราะคำนึงถึงเรื่องการประหยัดค่าเชื้อเพลิง และสามารถลดมลภาวะให้กับสิ่งแวดล้อมได้ หรือหากมีราคาที่เหมาะสมก็อาจจะตัดสินใจซื้อ

 

ในขณะที่อีกร้อยละ  50 ของกลุ่มตัวอย่างดังกล่าวตัดสินใจว่าหากจะต้องเปลี่ยนรถใหม่จะไม่ซื้อรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าอย่างแน่นอน เนื่องจากระยะเวลาการชาร์ตที่นานเกินไป และการต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่ทุกๆ 2-3 ปี อาจทำให้ไม่คุ้มค่าใช้จ่าย ดังนั้น ในกลุ่มหลังนี้ยังระบุด้วยว่าหากภาครัฐสามารถเข้ามาส่งเสริมเรื่องราคาและพัฒนาเทคโนโลยีการชาร์ตให้มีความรวดเร็ว ก็อาจจะเป็นปัจจัยในการตัดสินใจซื้อรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าได้

 

ดร.ปิยธิดา ระบุว่า แม้ว่าจากการสอบถาม 150 ชุดตัวอย่างอาจจะได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการสำรวจอยู่มาก แต่ทีมผู้วิจัยเล็งเห็นว่า การขับขี่รถจักรยายนต์ในระยะสั้นๆ อาจจะยังไม่เพียงพอต่อการคิดตัดสินใจเลือกหรือไม่เลือกใช้จักรยานยนต์ไฟฟ้าได้เพียงพอ จึงเห็นว่าควรจะต้องเปิดโอกาสให้กลุ่มตัวอย่างได้มีโอกาสให้กลุ่มตัวอย่าง 30 คนที่สมัครใจนำรถไปขับขี่ให้นานขึ้น โดยครั้งนี้จะเปิดโอกาสให้นำรถไปขับขี่จริง 3-5 วัน  มีข้อกำหนดว่าผู้ใช้จะต้องนำรถมาชาร์ตที่สถานีชาร์ตซึ่งติดตั้งไว้ทั้ง 3 แห่ง โดยมีการติดตั้งอุปกรณ์บันทึกการใช้งานไว้กับตัวรถ เพื่อนำมาวิเคราะห์ในเชิงวิศวกรรม ประกอบไปด้วย ระบบโปรเซสเซอร์ ต่อพ่วงเข้ากับแบตเตอรี่ ติดตั้ง GPRS เพื่อติดตามเส้นทางการขับขี่ นอกจากนั้น ยังมีชุดดาต้าสตอเรจ เพื่อใช้ยูเอสบีเสียบดึงข้อมูลเข้ามาเก็บไว้ อีกทั้งยังติดตั้งหน้าจอแสดงระยะทางซึ่งประเมินจากไฟที่ยังเหลือ เพื่อเป็นข้อมูลให้ผู้ขับขี่ได้ทราบว่ายังสามารถขับขี่ไปได้อีกกี่กิโลเมตรก่อนจะถึงเป้าหมาย

 

การสำรวจครั้งนี้ก็เพื่อเป็นการเก็บข้อมูลพฤติกรรมการใช้รถจักรยานยนต์ ปริมาณการใช้พลังงาน รวมถึงทัศนคติที่มีต่อการใช้รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า และข้อมูลประสิทธิภาพจริงของระบบชาร์ตและตัวรถเอง เพื่อนำไปวิเคราะห์ผลการประหยัดพลังงาน รวมถึงประสิทธิภาพเชิงเปรียบเทียบระหว่างรถมอเตอร์ไซด์ทั่วไปกับรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า มีความแตกต่างกันอย่างไร ข้อเด่นข้อด้อย ก่อนจะนำข้อมูลไปเสนอต่อภาครัฐในการส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดการใช้รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด

 

โครงการฯนี้มีทีมทำงานตามเป้าหมาย 3 ส่วนหลักๆ ทีมแรกคือทีมพัฒนาเทคโนโลยี โดยจะนำข้อมูลจากผู้ขับขี่จริงมาวิเคราะห์ทางวิศวกรรม ทีมที่ 2 คือ ทีมวิเคราะห์พฤติกรรมความพึงพอใจของผู้ขับขี่จริง และทีมที่ 3 คือทีมที่จะดูเรื่องนโยบาย นำผลที่ได้ไปร่างข้อเสนอต่อภาครัฐในการส่งเสริมการใช้รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อลดการนำเข้าน้ำมัน ซึ่งที่ผ่านมาทีมที่สามได้มีการเข้าไปสัมภาษณ์พูดคุยกับหน่วยงานต่างๆ อาทิ กรมควบคุมมลพิษ กรมสรรสามิตร กรมขนส่งทางบก รวมถึงสำนักงานมาตรฐานอุตสาหกรรมว่ามีทัศนคติหรือมุมมองอย่างไรในการส่งเสริมการใช้รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าภายในประเทศ

 

อย่างไรก็ตาม สำหรับสถานีประจุไฟฟ้าเฉพาะที่ มจธ. จะมีความต่างจากที่อื่น เนื่องจาก มจธ.เล็งเห็นว่าในอนาคตทางมหาวิทยาลัยจะมีการส่งเสริมการใช้จักรยานไฟฟ้า หรือ e-bike ขึ้นภายในมหาวิทยาลัย จึงมีการติดตั้งแท่นชาร์ตรวม 4 แท่นชาร์ต โดย 1 ใน 3 เป็นแท่นชาร์ตสำหรับจักรยานไฟฟ้าโดยเฉพาะ

 

Tags : อุตสาหกรรม, ข่าวอุตสาหกรรม, สื่ออุตสาหกรรม, โรงงาน, เครื่องจักรกล, การผลิต, พลังงาน, โลจิสติกส์, Industry, Industrial, Industrial News, Industrial Media, Factory, Machinery, Machine, Manufacturing, Energy, Logistics