MANUFACTURING

สหรัฐฯ เตรียมออกกฎหมายใหม่คุมความปลอดภัยอาหาร เน้นตรวจสอบได้จากต้นน้ำถึงปลายน้ำ
POSTED ON 30/01/2557


อุตสาหกรรมการผลิต - องค์การอาหารและยาของสหรัฐ หรือ USFDA ได้เปิดประชาพิจารณ์รับฟังความเห็นต่อร่างกฎหมายฉบับใหม่ว่าด้วยการปรับปรุงความปลอดภัยอาหารของสหรัฐ (Food Safety Modernization ACT : FSMA) ได้แก่ (1) Foreign Supplier Verification Programe และ (2) Accreditation of Third-Party Auditors หมายถึง การบังคับให้ผู้ผลิตและซัพพลายเออร์สินค้าอาหารไปยังตลาดสหรัฐฯ จะต้องขึ้นทะเบียนหรือเป็นผู้ได้รับอนุญาตจึงจะส่งออกได้ และที่สำคัญต้องมีข้อมูลที่สามารถตรวจสอบย้อนกลับจากต้นน้ำถึงปลายน้ำได้ โดยสหรัฐฯ กำหนดระยะเวลาการให้ความเห็นใน 120 วัน หรือภายในเดือน ก.พ.2557 นี้

 

กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ได้แจ้งภาคเอกชนเพื่อให้ความเห็นภายใน 27 ม.ค.2557 นี้ แต่ในส่วนของกรมฯ กำลังวิเคราะห์เชิงลึกต่อไปว่า การปรับกฎหมายนี้ถือเป็นมาตรการทางการค้าที่มิใช่ภาษีหรือไม่ หากเป็นมาตรการทางการค้า ก็จำเป็นต้องยื่นขอหารือตามกรอบองค์การการค้าโลก (WTO) เพื่อเยียวยาผลกระทบที่ไทยได้รับ

 

รายงานข้อมูลจากกรมศุลกากรระบุว่า สหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกสำคัญ คิดเป็นสัดส่วน 10% ของการส่งออกไทย โดยยอดส่งออก 11 เดือนแรกของปี 2556 (ม.ค.-พ.ย.) มีมูลค่า 6.36 แสนล้านบาท ซึ่งในจำนวนนี้ 20 รายการแรกจัดเป็นสินค้าในกลุ่มอาหารที่สำคัญๆ เช่น อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป 33,000 ล้านบาท ผลไม้กระป๋องและแปรรูป 15,000 ล้านบาท ข้าว 12,000 ล้านบาท กุ้งสดแช่เย็นแช่แข็ง 10,000 ล้านบาท เป็นต้น

 

นายไพบูลย์ พลสุวรรณา ที่ปรึกษาสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ประกาศนี้เป็นการขยายผลการบังคับใช้ให้ครอบคลุมสินค้าอาหารทุกรายการ และใช้กับผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่ายสินค้าทั้งรายใหญ่จนถึงรายเล็ก จากเดิมที่มีกฎหมายฉบับนี้มานานกว่า 10-15 ปีแล้ว แต่ใช้บังคับสินค้าบางรายการ เช่น กุ้งสดแช่เย็น แช่แข็ง และน้ำผลไม้บรรจุกระป๋อง ต้องผ่านมาตรฐานสากล เช่น HACCP ระบบ GMP หรือระบบ GAP เพื่อให้สามารถตรวจสอบย้อนกลับจากปลายน้ำไปที่ต้นน้ำได้ ป้องกันการก่อการร้ายทางชีวภาพ (Bioterrorism)

 

"หลังจากรับฟังความเห็นแล้วน่าจะมีเวลาปรับตัวอีกประมาณ 1 ปี แต่สหรัฐฯ คงใช้แน่ ไม่มีทางจะผ่อนผัน ปัญหาที่เราต้องเตรียมตัวคือ ผู้ประกอบการรายเล็กจะปรับตัวทันไหม หากปรับตัวได้จะสามารถรักษาการส่งออกไปสหรัฐฯ ได้ คิดเป็นมูลค่ามหาศาล แต่จะอ้างว่าทำไม่ได้ ไม่ได้ เพราะกลุ่มกุ้งแช่แข็ง กับน้ำผลไม้เขาทำได้อยู่แล้ว อย่างกุ้งส่งออกไปสหรัฐฯ ประมาณ 40-50% มีมาตรฐานสากลหมด" นายไพบูลย์ กล่าว

 

นายไพบูลย์ กล่าวต่อด้วยว่า "เดิมสหรัฐฯ จะให้เจ้าหน้าที่มาตรวจสอบ แต่เมื่อขยายผลไปยังกลุ่มอาหารทุกชนิดก็อาจจะเปลี่ยนระบบให้มีหน่วยงานกลางที่รับจดทะเบียนผู้ประกอบการ อาจจะทำให้มีต้นทุนมากขึ้น แต่หากสหรัฐฯ สุ่มตรวจสอบแล้วพบว่ามีการปลอมปนที่เป็นอันตรายต่อประชาชนของสหรัฐฯ ก็จะพิจารณาตีกลับสินค้าหรือทำลายทิ้ง ซึ่งก็จะเป็นต้นทุนของเรา อย่างไรก็ตาม หากรัฐบาลสามารถเร่งเจรจาความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก หรือ ทีพีพี ได้ ก็มีโอกาสที่ทั้งไทยจะขอให้สหรัฐฯ จัดทำความร่วมมือในการตรวจสอบร่วมกัน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคทั้งสองประเทศด้วย"

 

ด้าน ดร.ผณิศวร ชำนาญเวช นายกกิตติคุณ สมาคมอาหารแช่เยือกแข็งไทย เปิดเผยว่า ทางสมาคมฯ ได้มอบให้ทางทนายพิจารณาเกี่ยวกับร่างกฎหมายฉบับใหม่ดังกล่าวนี้ โดยเห็นว่า USFDA น่าจะมีวัตถุประสงค์ในการออกร่างกฎหมาย เพราะต้องการบังคับให้โรงงานอาหารทุกประเภทต้องขึ้นทะเบียน จากที่ปัจจุบันบังคับเฉพาะโรงงานที่ผลิตอาหารกระป๋อง พร้อมเพิ่มความเข้มงวดมากขึ้นในการควบคุมตัวแทนผู้ส่งออกอาหาร(Food Agent) จะต้องมีตัวตนอยู่จริงในสหรัฐฯ เพราะหากเกิดเหตุอันตรายต่อผู้บริโภคจะถือว่าเป็นความผิดโดยเจตนา ซึ่งถือเป็นบทลงโทษที่หนักและรุนแรง โดยจะไม่ถือว่าเป็นเพียงความประมาทหรือละเลย

 

"ตรงนี้ต้องระวังตัวกันให้มากหน่อย คล้ายๆ กับว่า สุนัขบ้านเราออกไปกัดเพื่อนบ้าน แทนที่เจ้าของสุนัขจะมีความผิดฐานประมาท ไม่ดูแล ปล่อยให้สุนัขไปกัดคนอื่น เปลี่ยนเป็นเจตนาเลี้ยงสุนัขไว้กัดชาวบ้าน ดังนั้น หากผู้บริโภคได้รับอันตรายจากสินค้าของบริษัทใด ผู้ผลิตสินค้าจะได้รับข้อหาเจตนาทำให้เกิดอันตรายในการบริโภคสินค้านั้นๆ คงหนียากกว่าโทษที่ประมาทละเลย แต่ผู้ส่งออกที่เคยส่งไปตลาดสหรัฐฯ อยู่แล้ว แทบไม่มีผลกระทบอะไร เพียงแต่เจ้าของโรงงานต้องเพิ่มความเข้มงวด เพื่อควบคุมคนทำวัตถุดิบตลอดห่วงโซ่การผลิต ใครส่งออก คนนั้นต้องรับผิดชอบ จะผลักภาระให้คนอื่นต่อไม่ได้ ความจริงถือว่าเอาเปรียบมาก เป็นการวางอำนาจนอกอาณาเขตแบบนักเลงโต" ดร.ผณิศวร กล่าว

 

นายพรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล รองประธานหอการค้าไทย กล่าวว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างรวบรวมความคิดเห็นเกี่ยวกับกฎหมาย FSMA จากสมาชิก เพื่อส่งต่อข้อคิดเห็นต่างๆ กลับไปให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ส่วนทางหอการค้ามีหน้าที่คอยติดตามข่าวสารและประสานไปยังสมาชิกผู้ส่งออกเตรียมรับมือกับกฎระเบียบและกฎหมายที่มีการเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา