อุตสาหกรรมการผลิต - นายแอนเดรียส ชิค ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร แชฟฟ์เลอร์ (Schaeffler) ภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์จากเยอรมนี เปิดเผยถึงแผนการดำเนินงานของบริษัทฯ ว่า เอเชีย-แปซิฟิกถือเป็นตลาดรถยนต์ที่มีการเติบโตชัดเจน บริษัทฯ มองเห็นถึงโอกาสดังกล่าวจึงได้มุ่งเน้นขยายธุรกิจเข้ามาในภูมิภาคนี้ โดยก่อนหน้านี้ได้เริ่มการผลิตสินค้าบางประเภทแล้ว ด้วยงบลงทุนสำหรับสายการผลิตเฟสแรกกว่า 280 ล้านบาท

ล่าสุดอยู่ระหว่างการก่อสร้างโรงงานแห่งที่ 2 ที่นิคมอุตสาหกรรมเหมราช จ.ระยอง บนพื้นที่กว่า 55,000 ตารางเมตร คาดว่าจะแล้วเสร็จและเริ่มเดินสายการผลิตได้ในช่วงต้นปี 2559 ซึ่งโรงงานแห่งใหม่นี้จะสามารถรองรับการผลิตสินค้าได้ถึง 5 ประเภท อาทิ ลูกปืน แหวนเกียร์ ตัวปรับตั้งสายพานอัตโนมัติ ระบบปล่อยคลัตช์ ที่จะผลิตป้อนทั้งโรงงานแบบเทียร์ 1 และ เทียร์ 2 แต่โรงงานใหม่จะผลิตชิ้นส่วนป้อนโรงงานผลิตรถยนต์กว่า 75%

บริษัทฯ มองว่าแม้ที่ผ่านมาตลาดรถยนต์ไทยจะมีอุปสรรคแต่เป็นปัญหาระยะสั้นเท่านั้น คาดว่าจนถึงปี 2565 ประเทศไทยจะมีกำลังการผลิตกว่า 3.8 ล้านคัน โดยทิศทางน่าจะมุ่งไปที่รถยนต์นั่งขนาดเล็กประหยัดพลังงาน และประเทศไทยก็ยังถือเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมยานยนต์และการขนส่งระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนด้วย จึงประเมินว่าเป็นโอกาสดีที่โรงงานในประเทศไทยจะผลิตชิ้นส่วนเพื่อป้อนทั้งตลาดในประเทศและส่งออก

ทั้งนี้ บริษัทฯ จะมองหาลูกค้ารายใหม่ๆ ที่เป็นผู้ผลิตรถยนต์ในประเทศ ซึ่งก็คือผู้ผลิตแบรนด์ญี่ปุ่นเพิ่มมากขึ้น จากลูกค้าปัจจุบันที่มี อาทิ ฮอนด้า นิสสัน ฟอร์ด มิตซูบิชิ ซูซูกิ เชฟโรเลต และกำลังจะมีลูกค้าใหม่คือ โตโยต้า รวมถึงมีลูกค้าที่เป็นค่ายรถจักรยานยนต์ด้วย

ซึ่งแชฟเลอร์จะชูจุดขายในด้านการให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และเป็นเทคโนโลยีขั้นสูง ซึ่งสอดรับกับโครงสร้างภาษีใหม่ที่ยึดหลักเกณฑ์การปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ด้วย จึงน่าจะเป็นจุดแข็งที่ทำให้ผู้ผลิตหลายรายหันมาเลือกใช้ชิ้นส่วนของบริษัทฯ

นอกจากนี้ แชฟเลอร์ยังไม่ได้มองบทบาทของบริษัทฯ เป็นเพียงผู้ผลิตชิ้นส่วน แต่จะมุ่งเน้นพัฒนาการผลิตชิ้นส่วนแบบเป็นระบบซับซิสเต็ม เป็นชุดของชิ้นส่วนในแต่ละระบบของรถยนต์ และการร่วมกับผู้ผลิตรถยนต์ในการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ ด้วย

สำหรับด้านยอดขายนั้น ในปีที่ผ่านมาบริษัทฯ มียอดขายในเอเชีย-แปซิฟิกราว 120 ล้านยูโร ส่วนในปีนี้ตั้งเป้ายอดขายมีอัตราการเติบโตราว 20% ซึ่งโรงงานไทยมีสัดส่วนการผลิตราว 10% จากกำลังการผลิตทั่วโลก ปัจจุบันบริษัทฯ มีโรงงานในภูมิภาคนี้ทั้งในไทย อินเดีย จีน และเวียดนาม

ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ