LOGISTICS

กทพ.เร่งศึกษาโครงการทางพิเศษ เชื่อมโลจิสติกส์ไทยกับอาเซียน
POSTED ON 23/06/2557


 

ข่าวโลจิสติกส์ - นายอัยยณัฐ ถินอภัย ผู้ว่าการ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) เปิดเผยว่า กทพ.กำลังอยู่ในระหว่างการจัดทำโครงการศึกษาความเป็นไปได้ สำรวจ และออกแบบเบื้องต้นทางพิเศษเพื่อพัฒนาระบบโลจิสติกส์ระหว่างประเทศ เพื่อรองรับการก้าวสู่ประชาคมอาเซียน (AEC) โดยจะมีการสร้างทางพิเศษเชื่อมกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยได้ตั้งเป้าหมายให้ทางพิเศษของไทยเป็นสี่แยกของ AEC ที่ตั้งอยู่ด่านชายแดนทั้ง 4 จุดคือ (1) ทิศเหนือ - ด่านแม่สาย (2) ทิศตะวันตก - แม่สอด (3) ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ - มุกดาหาร และ (4)ทิศใต้ - ด่านสะเดา จ.สงขลา

 

สำหรับจุดผ่านแดนทั้ง 4 ด่าน ปัจจุบันมีการเดินทางและขนส่งสินค้าเข้าออกผ่านด่านเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะที่ด่านสะเดา จ.สงขลา มีปริมาณการใช้บริการสูงสุด ซึ่งกระบวนการผ่านด่านในแต่ละครั้งต้องใช้เวลาดำเนินการประมาณ 1 ชั่วโมง เนื่องจากต้องติดต่อประสานงานถึง 5 จุด โดยยืนยันว่าจะไม่ซ้ำซ้อนกับเส้นทางของกรมทางหลวงที่ใช้สัญจรอยู่ในปัจจุบัน เนื่องจาก กทพ. มีรูปแบบการก่อสร้างเป็นทางเชื่อมต่อกับจุดชายแดนระหว่างประเทศไทยกับเพื่อนบ้านมีระยะทางประมาณ 4-5 กิโลเมตร ผู้ใช้ทางจะได้รับความสะดวกและรวดเร็ว โดยจะเป็นการให้บริการแบบครบวงจร หรือ One Stop Service โดยนำระบบอีซีพาส มาเก็บค่าผ่านทางระหว่างประเทศ โดยระบบดังกล่าวใช้เวลาเพียง 5 นาที ก็เสร็จสิ้นกระบวนการผ่านแดน ซึ่งจะเริ่มนำร่องที่ด่านสะเดาเป็นแห่งแรก 

 

ทั้งนี้ คาดว่าผลการศึกษาทั้ง 4 จุด รวมถึงกรอบการใช้งบประมาณจะแล้วเสร็จประมาณปลายปี 2557 ซึ่งเมื่อทำการสรุปผลการศึกษาเสร็จ ทาง กทพ. จะมีการพิจารณาและนำเสนอกระทรวงคมนาคมเพื่อดำเนินโครงการต่อไป โดยจะใช้ระยะเวลา 4 ปีในการดำเนินโครงการ นี่เป็นแผนหลักของการให้บริการของการทางพิเศษ

 

อย่างไรก็ตาม ก็ขึ้นอยู่กับนโยบายของทางกระทรวงคมนาคมและความร่วมมือของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้วย ซึ่งที่ผ่านมาในกรอบระยะเวลา 4 ปีก็น่าจะเป็นระยะเวลาในดำเนินการได้แล้วเสร็จ

 

สำหรับกรอบงบประมาณในการลงทุนในแต่ละจุดคงจะมีจำนวนลงทุนที่แตกต่างกันออกไป โดยในส่วนของทางทิศใต้บริเวณด่านศุลกากรสะเดาจะนำร่องเป็นโครงการเร่งด่วนที่สุด เพราะมีความพร้อมของเส้นทาง

 

ส่วนตัวเลขงบประมาณในการลงทุนนั้นจากผลของการศึกษาตัวเลขเงินลงทุนยังไม่สามารถให้ข้อมูลได้ในขณะนี้ เนื่องจากรอผลการศึกษา แต่น่าชัดเจนขึ้นภายในปลายปีนี้

 

ที่มา : แนวหน้า