HOT

นิคมอมตะฯเล็งปรับขึ้นราคาที่ดิน คาดยอดขายนิคมอุตฯปีนี้ทรงตัว
POSTED ON 11/01/2559


ข่าวอุตสาหกรรม 11 ม.ค.2559 - นายวิบูลย์ กรมดิษฐ์ กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่การตลาด บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปี 2558 บริษัทฯคาดว่าจะมียอดขายพื้นที่ในนิคมอุตสาหกรรมทั้งหมดประมาณ 800-1,000 ไร่ ทั้งจากนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ จ.ระยอง และนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร จ.ชลบุรี ขณะที่ในปี 2559 นั้น บริษัทฯตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 1,000 ไร่ ซึ่งใกล้เคียงกับปี 2558 โดยระบุด้วยว่าในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา ยอดขายพื้นที่ในนิคมอุตสาหกรรมของบริษัทฯอยู่ที่ประมาณ 1,000 ไร่ต่อปีมาโดยตลอด

 

แม้รัฐบาลจะตั้งเป้าหมายให้ปี 2559 เป็นปีแห่งการลงทุน โดยได้เพิ่มสิทธิประโยชน์ส่งเสริมการลงทุนในทุกๆ ด้านให้แก่กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย และมีแผนที่จะไปโรดโชว์ดึงดูดการลงทุนจากทั่วโลก แต่บริษัทฯก็ยังคงตั้งเป้าหมายยอดขายของปีนี้เท่ากับปี 2558 หรืออาจจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น เนื่องจากประเทศไทยมีคู่แข่งด้านการลงทุนเพิ่มขึ้นอีกหลายประเทศ เช่น เวียดนาม และอินโดนีเซีย หรืออย่างฟิลิปปินส์เองล่าสุดก็ก้าวขึ้นมาเป็นคู่แข่งอย่างรวดเร็ว

 

อย่างไรก็ตาม การที่รัฐบาลสามารถควบคุมสถานการณ์ภายในประเทศให้มีความสงบเรียบร้อย ก็ทำให้บรรยากาศการลงทุนของไทยดีขึ้น และเชื่อว่าจะสามารถแข่งขันกับประเทศคู่แข่งได้มากขึ้น

 

สำหรับข้อกำหนดของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ที่กำหนดให้ต้องเข้ามาขอรับการส่งเสริมการลงทุนภายในปี 2559 และลงทุนตั้งโรงงานในปี 2560 นั้น เรามองว่าเป็นกรอบเวลาที่เหมาะสม เพราะโรงงานส่วนใหญ่ใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 1 ปี การกำหนดกรอบเวลานี้จะเป็นแรงกระตุ้นให้ผู้ประกอบการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนเร่งตั้งโรงงานเร็วขึ้น

 

แม้การเพิ่มสิทธิประโยชน์ส่งเสริมการลงทุนและการลดภาษีจะมีส่วนสำคัญในการดึงดูดนักลงทุนก็ตาม แต่บรรยากาศภายในประเทศก็ยังทำให้นักลงทุนตัดสินใจเข้ามาลงทุนในไทยเพียงแค่ 50% เท่านั้น เหตุเพราะนักลงทุนก็ยังคงมีความกังวลต่อสถานการณ์ในอนาคต และมีคู่แข่งหน้าใหม่เพิ่มมากขึ้น จึงทำให้บริษัทฯไม่ได้ตั้งเป้าหมายที่เติบโตมากนัก

 

ปัจจุบันราคาขายที่ดินของนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร จ.ชลบุรี อยู่ที่ไร่ละ 7.5 ล้านบาท และนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ จ.ระยอง อยู่ที่ไร่ละ 3.2 ล้านบาท ซึ่งในไตรมาส 1/2559 นี้ บริษัทฯมีแผนที่จะปรับขึ้นราคาที่ดินตามราคาประเมินของทางราชการที่เพิ่มขึ้นประมาณ 40% แต่ก็คงปรับขึ้นได้ไม่มากนัก เพราะหากปรับตามราคาประเมิน ราคาที่ดินจะสูงเกินไป ส่งผลต่อยอดขายของบริษัทฯ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการประเมินตัวเลขเพื่อปรับราคาให้เหมาะสม

 

ส่วนนักลงทุนที่เข้ามาลงทุนตั้งโรงงานในนิคมฯของบริษัท อันดับ 1 ยังคงเป็นญี่ปุ่น ที่มีประมาณ 400 โรงงาน อันดับ 2 เป็นจีน มีประมาณ 70-80 โรงงาน และมีอัตราเติบโตที่รวดเร็วขึ้นมาก จากเมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมา จีนมีโรงงานเพียง 10-20 โรงเท่านั้น ส่วนสุดท้ายอันดับ 3 เป็นนักลงทุนไทย ที่มีจำนวนโรงงานใกล้เคียงกับจีน

 

"นักลงทุนญี่ปุ่นแม้จะเติบโตน้อยกว่าจีน แต่ก็ขยายการลงทุนเข้ามาในไทยอย่างสม่ำเสมอ และขยายไปสู่การลงทุนในอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ตามนโยบายการส่งเสริมของรัฐบาล ส่วนจีนแม้ในปี 2559 นี้เศรษฐกิจของจีนจะซบเซา แต่จากเศรษฐกิจจีนที่ขยายตัวในระดับสูงมานาน ทำให้ผู้ประกอบการจีนสะสมเงินทุนไว้มาก จึงอยากกระจายการลงทุนออกไปนอกประเทศ เพื่อลดความเสี่ยง รวมทั้งการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ก็เป็นแรงดึงดูดสำคัญที่ทำให้นักลงทุนจีนเข้ามาในไทยเพิ่มมากขึ้น" นายวิบูลย์ กล่าว

 

Tags : อุตสาหกรรม, ข่าวอุตสาหกรรม, สื่ออุตสาหกรรม, โรงงาน, เครื่องจักรกล, การผลิต, พลังงาน, โลจิสติกส์, Industry, Industrial, Industrial News, Industrial Media, Factory, Machinery, Machine, Manufacturing, Energy, Logistics