HOT

อีก 3 ปี เหมืองแร่โปแตซอาเซียนจะเริ่มผลิตจริง
POSTED ON 11/03/2558


ข่าวอุตสาหกรรม - หนังสือพิมพ์บ้านเมืองรายงานเมื่อวันที่ 9 มี.ค.2558 ที่ผ่านมา ว่า ล่าสุด นายจักรมณฑ์ ผาสุกวนิช รมว.อุตสาหกรรม ได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโครงการเหมืองแร่โปแตซอาเซียน อ.บำเหน็จณรงค์ จ.ชัยภูมิ หลังจากที่ได้ลงนามอนุญาตประทานบัตรทำเหมืองแร่โปแตซให้แก่บริษัท เหมืองแร่โปแตซอาเซียน จำกัด (มหาชน) เมื่อวันที่ 6 ก.พ.2558 ที่ผ่านมา และบริษัทฯ ได้รับประทานบัตรจากอุตสาหกรรมจังหวัดชัยภูมิในฐานะเจ้าพนักงานอุตสาหกรรมแร่ประจำท้องที่เมื่อวันที่ 3 มี.ค.2558 เรียบร้อยแล้ว คาดว่าเหมืองแร่โปแตซอาเซียนจะเริ่มผลิตจริงในอีก 3 ปีข้างหน้า

 

สำหรับโครงการเหมืองแร่โปแตซของอาเซียนเป็นโครงการอุตสาหกรรมของอาเซียนตามมติ ครม.เศรษฐกิจอาเซียนเมื่อปี 2532 ร่วมลงทุนระหว่างกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียน ประกอบด้วย มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ บรูไน และรัฐบาลไทย โดยกระทรวงการคลังถือหุ้นประมาณ 20% ทั้งนี้ บริษัท เหมืองแร่โปแตซอาเซียน จำกัด (มหาชน) ได้ยื่นคำขอประทานบัตรเมื่อวันที่ 28 ต.ค.2547 ครอบคลุมพื้นที่ 9,700 ไร่ ซึ่งอยู่ในพื้นที่ ต.บ้านตาล ต.บ้านเพชร และ ต.หัวทะเล อ.บำเหน็จณรงค์ จ.ชัยภูมิ

 

ที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้ดำเนินการเจาะสำรวจในพื้นที่ดังกล่าวจำนวน 100 หลุมเจาะ พบว่า มีปริมาณสำรองแร่โปแตซทางธรณีวิทยาประมาณ 430 ล้านตัน และได้ทดลองทำเหมืองแร่โปแตซใต้ดินในฐานะตัวแทนของกระทรวงอุตสาหกรรมตามมติ ครม.เมื่อวันที่ 18 ก.ย.2533 โดยได้ก่อสร้างอุโมงค์ในแนวเอียงขนาด 6x3 เมตร ยาว 935 เมตร เข้าสู่ระดับความลึก 180 เมตรจากผิวดิน และอุโมงค์หลักเข้าหาชั้นแร่ รวมทั้งได้ทดลองพัฒนาการทำเหมืองแร่โปแตซแบบห้องสลับกำแพงค้ำยันจำนวน 3 ห้อง โดยแต่ละห้องมีขนาดกว้าง 15 เมตร ยาว 60 เมตร สูง 25 เมตร ซึ่งบริษัทฯ วางแผนที่จะผลิตโปแตซด้วยวิธีการทำเหมืองใต้ดินแบบห้องสลับเสาค้ำยัน (Rooms and Pillars) และแต่งแร่ด้วยวิธีการตกผลึกร้อน (Hot Crystallization) กำลังการผลิต 1.1 ล้านตันต่อปี เป็นระยะเวลาประมาณ 25 ปี รวมปริมาณปุ๋ยโปแตซเซียมคลอไรด์ (KCl) ที่จะผลิต 17.33 ล้านตัน มูลค่าการลงทุนประมาณ 40,000 ล้านบาท

 

โดยในปี 2558 จะลงทุนซ่อมแซมอุโมงค์แนวเอียง 100 ล้านบาท ปี 2559 ลงทุนก่อสร้างอุโมงค์แนวดิ่งจำนวน 2 อุโมงค์ 4,500 ล้านบาท ปี 2560-2561 พัฒนาหน้าเหมืองและก่อสร้างโรงแต่งแร่ 35,400 ล้านบาท และจะสามารถผลิตปุ๋ยโปแตซได้ในปี 2562

 

จากการทำเหมืองทดลองที่ผ่านมา เป็นข้อพิสูจน์ว่ วิธีการทำเหมืองมีความปลอดภัยและป้องกันผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยการดำเนินโครงการเหมืองแร่โปแตซของอาเซียนจะทำให้เกิดการจ้างงาน กระตุ้นเศรษฐกิจ และทำให้ประเทศไทยไม่ต้องนำเข้าปุ๋ยโปแตซ ประมาณ 700,000 ตันต่อปี คิดเป็นมูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาทต่อปี โดยปุ๋ยโปแตซที่ได้จะต้องขายภายในประเทศก่อนเป็นอันดับแรก ซึ่งจะทำให้เกษตรกรได้ใช้ปุ๋ยคุณภาพดี ในราคาที่ถูกลง รวมทั้งจะทำให้เกิดอุตสาหกรรมต่อเนื่องได้อีกมาก เป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศอีกทางหนึ่ง

 

ทั้งนี้ การดำเนินโครงการดังกล่าวจะทำให้รัฐบาลสามารถเก็บเงินภาษีเงินได้นิติบุคคลประมาณ 20-30% และค่าภาคหลวงแร่ประมาณ 7% โดยจะส่งเป็นรายได้ของแผ่นดินประมาณ 40% และจัดสรรให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นประมาณ 60% รวมทั้ง รัฐบาลจะได้ผลประโยชน์ตอบแทนพิเศษประมาณ 3,700 ล้านบาท

 

นายสุรพงษ์ เชียงทอง อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ กล่าวว่า ในขั้นตอนต่อไปกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่จะได้ดำเนินการเรียกประชุมตัวแทนผู้มีส่วนได้เสียเพื่อตกลงกำหนดตัวบุคคลผู้มีสิทธิตรวจสอบ ซึ่งจะทำหน้าที่ร่วมตรวจสอบการทำเหมืองใต้ดินแบบมีส่วนร่วมกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ โดยมีกองทุนให้ผู้มีสิทธิตรวจสอบว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญมาเป็นที่ปรึกษา และบริษัท เหมืองแร่โปแตชอาเซียน จำกัด (มหาชน) จะนำเงินเข้ากองทุนต่างๆ ได้แก่ (1) กองทุนสนับสนุนการมีส่วนร่วมตรวจสอบการทำเหมืองปีละ 1 ล้านบาท (2) กองทุนเฝ้าระวังสุขภาพ 45 ล้านบาท (3) กองทุนประกันภัยความเสี่ยง 50 ล้านบาท (4) กองทุนฟื้นฟูพื้นที่ทำเหมือง 600 ล้านบาท (5) กองทุนพัฒนาชุมชนรอบพื้นที่เหมือง 300 ล้านบาท และ (6) กองทุนเพื่อการศึกษาวิจัยด้านโปแตซประมาณ 60 ล้านบาท โดยกองทุนทั้งหมดจะมีตัวแทนผู้มีส่วนได้เสียเข้ามาร่วมบริหารจัดการกองทุนด้วย

 

ด้าน นายสมัย ลี้สกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เหมืองแร่โปแตซอาเซียน กล่าวว่า "บริษัทฯ อยู่ระหว่างการจัดหาที่ปรึกษาทางการเงิน เพื่อดำเนินการกู้เงินในโครงการเหมืองแร่โปแตซ วงเงินประมาณ 45,000 ล้านบาท คาดว่าจะมีความชัดเจนช่วงเดือน ก.ค.-ส.ค.2558นี้ โดยล่าสุดธนาคารในประเทศหลายแห่งสนใจเปิดให้บริษัทฯ เข้ากู้ รวมถึงจะมีการคัดเลือกกลุ่มบริษัทผู้รับเหมาด้วย อย่างไรก็ตาม ในการประชุมผู้ถือหุ้นในช่วงปลายเดือน ก.ย.2558 นี้ จะหารือเรื่องแผนลงทุนและการเพิ่มทุนจดทะเบียนอีก 2,800 ล้านบาท เมื่อโครงการเหมืองแร่โปแตซก่อสร้างแล้วเสร็จ ไทยจะสามารถผลิตปุ๋ยโปแตซเซียมคลอไรด์ได้ประมาณ 1.1 ล้านตันต่อปี"