HOT

พลังงาน ออกโรงยันสัมปทานปิโตรฯ โปร่งใส ตรวจสอบได้
POSTED ON 15/01/2558


ข่าวอุตสาหกรรม - ตามที่สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ครั้งที่ 4/2557 วันที่ 13 ม.ค.2558 ได้ประชุมเพื่อพิจารณาศึกษาเรื่องการเปิดให้สัมปทานปิโตรเลียม รอบที่ 21 ซึ่งในการประชุมได้มีการอภิปรายในประเด็นดังกล่าวอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเหมาะสมเปรียบเทียบระหว่างการใช้ระบบสัมปทาน และระบบแบ่งปันผลผลิต ซึ่งมีสาระสำคัญด้านความโปร่งใส และการกำกับดูแลแล้วนั้น

 

กระทรวงพลังงาน ขอชี้แจงว่า ระบบสัมปทานของไทยเป็นระบบมาตรฐานสากล มีความโปร่งใส โดยสามารถสอบทานความถูกต้อง (Cross Check) ภายใต้หลักเกณฑ์การแบ่งผลประโยชน์ระหว่างรัฐกับผู้รับสัมปทาน (Fiscal Regime) และหลักเกณฑ์ในด้านการตรวจสอบและควบคุมการดำเนินงานของผู้รับสัมปทานที่ชัดเจนและต่อเนื่อง จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ และกรมสรรพากร เป็นต้น

 

สำหรับเรื่องการตรวจสอบปริมาณสำรองปิโตรเลียม รัฐทราบตัวเลขปริมาณสำรองปิโตรเลียมของแหล่งต่างๆ จากรายงานของบริษัทผู้รับสัมปทาน ซึ่งตัวเลขที่รายงานนี้เป็นตัวเลขเดียวกันกับที่ผู้รับสัมปทานรายงานแก่ผู้ร่วมลงทุน (Partner) ซึ่งต้องผ่านกระบวนการประเมินที่ถูกต้องเป็นไปตามกฎเกณฑ์มาตรฐานสากล ซึ่งกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติก็จะมีหน้าที่ตรวจสอบวิธีประเมินปริมาณสำรองของบริษัทผู้รับสัมปทานอีกทีหนึ่ง

 

นอกจากนี้ รัฐยังได้ว่าจ้างองค์กรผู้ชำนาญการ ( Third Party) เพื่อมาสุ่มตรวจตัวเลขปริมาณสำรองของบริษัทฯ เพื่อให้มั่นใจว่าตัวเลขที่บริษัทรายงานนั้นได้จากวิธีการประเมินที่เชื่อถือได้ตามหลักสากล รวมถึงกระบวนการตรวจสอบค่าใช้จ่าย และการอนุมัติการนำเข้าเครื่องจักรและอุปกรณ์ต่างๆ ที่อยู่ภายใต้การกำกับตามกฎหมายของกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ

 

สำหรับในขั้นตอนการผลิตและขายปิโตรเลียมนั้น กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติก็มีการควบคุมและตรวจสอบอย่างรัดกุมและเป็นระบบ เพื่อป้องกันการสูญหายหรือลักลอบระหว่างการดำเนินการ โดยเฉพาะการขนถ่ายและการซื้อขายปิโตรเลียมจากแหล่งในทะเล ซึ่งตามประบวนการนั้น น้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติเหลว (Condensate) จากแท่นผลิตจะถูกส่งไปยังเรือกักเก็บปิโตรเลียม และจะมีเรือขนถ่ายน้ำมันมาเทียบเพื่อรับซื้อ ซึ่งกระบวนการซื้อ-ขายจะต้องผ่านอุปกรณ์มาตรวัด (Meter) โดยในการซื้อขายทุกครั้งจะมีเจ้าหน้าที่ของกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติเป็นพยาน ทั้งนี้ได้มีการกำหนดให้ใช้อุปกรณ์มาตรวัดที่ได้มาตรฐานสากลของอุตสาหกรรมปิโตรเลียม ได้แก่ มาตรฐาน American Gas Association (AGA) และมาตรฐาน American Petroleum Institute (API) ซึ่งเป็นไปตามกฎกระทรวงที่กำหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการสำรวจ ผลิต และอนุรักษ์ปิโตรเลียม พ.ศ.2555 ออกตามความในพระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ.2514 และยังต้องทำการเปรียบเทียบมาตรวัด (Calibrate) ตามระยะเวลาที่กำหนด ต่อหน้าเจ้าหน้าที่กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติซึ่งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติปิโตรเลียม และยังมีบทกำหนดโทษห้ามมิให้ผู้ซื้อและผู้ขายทำการแก้ไขเปลี่ยนแปลงอุปกรณ์มาตรวัดโดยไม่ได้รับอนุญาต ดังนั้น การกำกับดูแลการซื้อ-ขายปิโตรเลียมของภาครัฐเป็นไปอย่างมีระบบภายใต้ข้อกำหนดของกฎหมายอย่างรัดกุม

 

แต่สำหรับระบบแบ่งปันผลผลิต (Production Sharing Contract – PSC) เป็นระบบที่ใช้แพร่หลายในประเทศเพื่อนบ้าน ในขณะที่ระบบสัมปทานมีการใช้แพร่หลายในประเทศที่พัฒนาแล้ว ทั้ง 2 ระบบต่างสามารถทำหน้าที่ในการรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติได้ โดยมีหลายส่วนที่คล้ายคลึงกัน เช่น ในส่วนมูลค่าปิโตรเลียมที่ผลิตได้ หลังจากหักค่าใช้จ่ายแล้ว (Cost Oil หรือ Cost Gas) ส่วนที่เหลือ (Profit Oil หรือ Profit Gas) จะแบ่งกันระหว่างรัฐกับผู้ประกอบการ แต่ความแตกต่างกันจะมีกลไกในการจัดเก็บ เช่น ระบบสัมปทานจะใช้กลไกภาษีเงินได้ และค่าภาคหลวงเป็นกลไกเก็บผลประโยชน์หลัก แต่ระบบ PSC จะใช้กลไกในการแบ่งปันผลกำไรของ Profit Oil ที่ขายได้ เป็นต้น ซึ่งจะจัดเก็บมากหรือน้อยนั้นสามารถก็อาจระบุเป็นจำนวนร้อยละที่อยู่ในกลไกการจัดเก็บนั้นๆ ได้

 

ด้าน นางพวงทิพย์ ศิลปศาสตร์ อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ กล่าวว่า ขณะนี้การเปิดสัมปทานรอบ 21 ยังเป็นไปตามมติ ครม. โดยจะปิดรับข้อเสนอในวันที่ 18 ก.พ.2558 เช่นเดิม โดยมีผู้สนใจมาขอดูข้อมูลทั้งรายเก่าและรายใหม่นับสิบราย ซึ่งจะมีการยื่นขอมากน้อยแค่ไหนคงจะต้องรอดูช่วงสัปดาห์สุดท้ายก่อนปิดรับข้อเสนอ

 

ทั้งนี้ ยืนยันว่าการดำเนินการทั้งหมดไม่ได้เป็นการเร่งรีบเพราะได้เตรียมการเปิดมาตั้งแต่ปี 2553 ด้วยเหตุที่ไทยต้องการก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้นแต่การจัดหาในประเทศเริ่มน้อยลง ดังนั้น การเปิดสัมปทานฯ ครั้งนี้จึงเป็นการเพิ่มปริมาณสำรองก๊าซฯ ภายในประเทศเพื่อลดการนำเข้าจากต่างประเทศ ที่ปัจจุบันไทยก็ต้องพึ่งพิงการนำเข้าพลังงานกว่า 50% ของความต้องการใช้ภาพรวมหรือคิดเป็นมูลค่าปีละกว่า 1.44 ล้านล้านบาท

 

โดยระบบสัมปทานรอบ 21 ผลประโยชน์ของรัฐไม่น้อยกว่า พีเอสซี โดยแบ่งปันผลประโยชน์ของรัฐและเอกชนในสัดส่วน 72% ต่อ 28% หลังหักจากค่าใช้จ่ายไปแล้ว และการดำเนินการไม่ซ้ำซ้อน โปร่งใสกว่า เพราะทุกอย่างเป็นไปตามที่รัฐประกาศ