FINANCE & INVESTMENT

ส.อ.ท. ร่วม 3 หน่วยงาน ขยายแหล่งเงินทุนให้เอสเอ็มอี
POSTED ON 28/10/2557


การเงินการลงทุน - สืบเนื่องจากที่ภาคเอกชนโดยสภาอุตสาหกรรมฯ ได้นำเสนอถึงความสำคัญของเอสเอ็มอีที่มีต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศและปัญหาอุปสรรคของการพัฒนาเอสเอ็มอีไทย ต่อคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม โดยมี "พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา" นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน รับทราบ และที่ประชุมได้มีมติให้นโยบายเอสเอ็มอีเป็นวาระแห่งชาติแล้วนั้น หน่วยงานหลักที่มีบทบาทหน้าที่สำคัญในการส่งเสริมและสนับสนุนเอสเอ็มอี ได้แก่ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.), ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME BANK และบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ได้หาแนวทางร่วมกันในการส่งเสริม รวมถึงการลดปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ให้กับเอสเอ็มอี อีกทั้งเดินหน้ายกระดับเอสเอ็มอี พร้อมขยายผลนโยบายการให้เอสเอ็มอีเป็นวาระแห่งชาติอย่างเป็นรูปธรรม โดยได้วางกรอบแนวทางการส่งเสริมเอสเอ็มอีของไทยออกเป็น 3 ระยะ คือ ระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว

 

ในเบื้องต้นได้มีแผนงานการส่งเสริมเอสเอ็มอีออกมาเป็นรูปธรรมในระยะสั้น โดยได้นำเสนอมาตรการขับเคลื่อนเอสเอ็มอีระยะเร่งด่วนของ 4 หน่วยงาน ซึ่งเน้นให้ความสำคัญในเรื่องของการลดปัญหาอุปสรรคต่างๆ โดยเฉพาะการเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่เป็นปัจจัยสำคัญในการเสริมสภาพคล่องและช่วยให้เอสเอ็มอีสามารถพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันได้ ดังนี้

 

1.การสนับสนุนทางการเงินให้กับเอสเอ็มอีที่ต้องการสภาพคล่องหรือขยายกิจการ

 

1.1 ส.อ.ท.ได้ลงนามความร่วมมือกับสถาบันการเงินทั้งของรัฐและเอกชน อาทิ SME Bank โดย ส.อ.ท.จะคัดกรองสมาชิกที่เป็นเอสเอ็มอีที่มีความต้องการทางการเงินให้สามารถเข้าสู่ระบบการให้บริการสินเชื่อของ SME Bank โดยเฉพาะโครงการสินเชื่อ 9 เมนูคืนความสุขให้เอสเอ็มอี (วงเงิน 19,000 ล้านบาท)ให้มีความสะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังได้ร่วมมือกับสถาบันการเงินเอกชน คือ ธนาคารไทยพาณิชย์ ในการจัดโปรแกรม SMI Fast Track ให้บริการเอสเอ็มอี (วงเงิน 16,000 ล้านบาท) เพื่อเป็นทางเลือกให้กับเอสเอ็มอีให้สามารถเลือกใช้บริการได้อย่างเหมาะสม

 

1.2 Policy Loan เป็นแนวทางที่ต้องอาศัยนโยบายภาครัฐในการสนับสนุน โดยจะขอให้หน่วยงานทางภาครัฐที่มีเงินฝากกระจายอยู่ตามสถาบันการเงินต่างๆ นำเงินมาฝากหรือให้กู้กับสถาบันการเงินของรัฐโดยให้อัตราผลตอบแทนที่เหมาะสม เพื่อนำเงินเหล่านั้นมาปล่อยกู้ให้กับเอสเอ็มอีในอัตราดอกเบี้ยที่ไม่สูงนัก เนื่องจากปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยในท้องตลาดอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง ทำให้เอสเอ็มอีมีต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้น ส่งผลให้ไม่สามารถแข่งขันกับรายใหญ่หรือต่างประเทศได้ จึงจำเป็นที่จะต้องหาแหล่งเงินทุนที่มีอัตราดอกเบี้ยไม่สูง และให้สถาบันทางการเงินของรัฐผู้บริหารจัดการเพื่อให้เกิดความมั่นใจของเจ้าของแหล่งเงิน และสามารถกำหนดอัตราดอกเบี้ยอย่างเหมาะสมได้

 

ทั้งนี้ เอสเอ็มอีที่จะขอกู้ในโครงการ Policy Loan ได้นั้นจะต้องเป็นเอสเอ็มอีที่ผ่านเกณฑ์การคัดกรองหรือเรียกว่า SME National Champion จากองค์กรที่เป็นหน่วยร่วม เช่น ส.ส.ว. ธพว. บสย. และ/หรือ ส.อ.ท. โดยจะมีการจัดทำเกณฑ์ในการคัดเลือก SME National Champion ร่วมกันเพื่อให้เอสเอ็มอีที่มีศักยภาพ แต่ต้องประสบปัญหาอัตราดอกเบี้ยในท้องตลาดสูง ทำให้ไม่สามารถขยายกิจการหรือสามารถแข่งขันได้นั้น ได้มีโอกาสในเข้าถึงแหล่งเงินต้นทุนต่ำกว่าตลาด เพื่อใช้ในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันต่อไป

 

ซึ่งทั้ง 4 องค์กร คาดหวังว่าการมีเกณฑ์ในการคัดเลือก SME National Champion จะเป็นแรงจูงใจให้เอสเอ็มอีเข้าสู่ระบบและปรับปรุง, พัฒนาตนเองให้สามารถผ่านเกณฑ์การคัดเลือกให้เป็น SME National Champion เพื่อรับสิทธิประโยชน์ทางการเงินและเข้าสู่กระบวนการ, โครงการการส่งเสริมพัฒนาเอสเอ็มอีอื่นๆ ต่อไปในอนาคต และที่สำคัญยังช่วยให้เจ้าของแหล่งเงินทุนมีความมั่นใจในตัวลูกค้าว่ามีคุณภาพอีกด้วย

 

ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวเป็นโครงการต้นแบบ คาดว่าจะใช้วงเงินประมาณ 1,000-2,000 ล้านบาท ซึ่งหากประสบผลสำเร็จก็จะขยายผลในวงกว้างต่อไป โดยในส่วนนี้ SME Bank ซึ่งเป็นสถาบันการเงินของรัฐได้ขานรับและมีความพร้อมในการดำเนินงานหากมีนโยบายมอบหมายลงมา

 

1.3 การช่วยเหลือเอสเอ็มอีที่มีนวัตกรรมใหม่ๆ ทั้งด้านผลิตภัณฑ์และซอฟท์แวร์ แต่ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งทุนได้เนื่องจากสถาบันการเงินไม่สามารถประเมินมูลค่าของนวัตกรรมเหล่านี้ได้อย่างเหมาะสม ก็เป็นสิ่งที่เกื้อกูลอย่างยิ่งต่อการพัฒนาประเทศ หากรัฐบาลให้การสนับสนุน

 

1.4 เพิ่มจำนวนผู้ให้กู้ยืมโดยให้ใบอนุญาตกับผู้ที่มิใช่สถาบันการเงินสามารถให้เอสเอ็มอีกู้ยืมในลักษณะ Nano หรือ Micro Finance ได้อย่างถูกกฎหมาย และมีการกำกับติดตามอัตราดอกเบี้ยให้เป็นธรรม จะช่วยให้เอสเอ็มอีมีทางเลือกทางการเงินที่ถูกกฎหมายมากยิ่งขึ้น

 

1.5 ปรับปรุงเงื่อนไขที่เกี่ยวกับนิติบุคคลร่วมทุน (Venture Capital) ใน พ.ร.ฎ.ฉบับที่ 396 และอื่นๆ อาทิ การจดทะเบียนกับ ก.ล.ต.สัดส่วนการร่วมทุน เป็นต้น เพื่อเปิดโอกาสให้บริษัทรายอื่นสามารถดาเนินการร่วมลงทุนกับเอสเอ็มอีได้ง่ายขึ้น

 

1.6 ผลักดัน พ.ร.บ.หลักประกันทางธุรกิจ ให้มีผลออกมาเป็นรูปธรรมอย่างชัดเจน เนื่องจาก พ.ร.บ.ดังกล่าวได้มีการร่างไว้นานแล้ว ซึ่งหากสามารถผลักดันให้เป็น พ.ร.บ.และมีผลบังคับใช้ก็จะเป็นอีกทางหนึ่งที่จะช่วยให้เอสเอ็มอีสามารถมีหลักประกันทางทรัพย์สินได้หลากหลายขึ้น

 

1.7 สนับสนุนด้านนโยบายและงบประมาณ เพื่อปรับหลักเกณฑ์การค้ำประกันเงินกู้ (Credit Guarantee) ของ บสย.และแก้ไขกฎหมายของ บสย.และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องให้สามารถให้การค้ำประกันแหล่งทุนของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมได้ทั่วถึง

 

2.ปรับปรุง/แก้ไข กฎหมาย หรือกฎระเบียบต่างๆ เพื่อให้เอื้อต่อการเข้าถึงแหล่งเงิน

 

2.1 กำหนดหน้าที่ของแต่ละหน่วยงานอย่างชัดเจน โดยกำหนดเป็นหน่วยงานด้านนโยบาย (Policy Maker), หน่วยปฏิบัติ (Implementer) และหน่วยงานสนับสนุน (Support Service Provider)

 

2.2 แก้ไขนิยามของ "วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม" ให้เป็นนิยามเดียวกันทุกหน่วยงานโดยนิยามให้กว้างที่สุด เพื่อความสะดวกในการให้บริการ

 

2.3 จัดทำโครงสร้างส่งเสริมผู้ประกอบการตาม Life Cycle (กลุ่ม Pre-Start Up, กลุ่ม Start-up Growth, Go-Global, Turnaround)

 

2.4 แก้ไขกฎหมายย่อยของหน่วยงานต่างๆ โดยให้ครอบคลุมถึงวิสาหกิจในรูปแบบใหม่ๆ ที่ยังไม่ได้กำหนดไว้ในกฎหมายฉบับเดิมๆ อาทิ กลุ่มผู้ประกอบการ : สหกรณ์ การบริการ กลุ่มเกษตรกรรม กลุ่มวิสาหกิจชุมชน กลุ่มนิติบุคคลที่มีสมาชิกอย่างน้อยกึ่งหนึ่งเป็นวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม

 

ซึ่งจากแนวทางการดำเนินเหล่านี้ทั้ง 4 องค์กร จะนำไปปฏิบัติร่วมกันเพื่อให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็ว และในส่วนที่เป็นข้อเสนอเชิงนโยบายจะได้มีการนำเสนอต่อหน่วยงานที่รับผิดชอบ อาทิ คณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม กระทรวงการคลัง และรัฐบาลผ่านคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) และพร้อมเดินหน้าแผนระยะกลาง และระยะยาวในการผลักดันให้เกิดมาตรการในการช่วยเหลือเอสเอ็มอีให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนออกมาเป็นรูปธรรมต่อไป