FINANCE & INVESTMENT

SCG เล็งทุ่มกว่า 1.1 หมื่นล้านบาท ลุยต่างประเทศ
POSTED ON 05/05/2557


 

ข่าวธุรกิจ - นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี เปิดเผยว่า แนวโน้มความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ในกลุ่มก่อสร้างยังชะลอตัวลง เนื่องจากในไตรมาสแรกปี 2557 นี้ ความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ยังเติบโต 4-5% เนื่องจากมีโครงการต่อเนื่องมาจากช่วงปลายปี 2556 ที่แล้ว ส่วนในไตรมาสที่ 2 คาดว่าจะชะลอตัวลง มาจากโครงการของภาครัฐที่ชะงักไป ดังนั้น จึงต้องการให้ปัญหาทางการเมืองยุติโดยเร็ว และหากสามารถตั้งรัฐบาลชุดใหม่ เชื่อว่าจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศให้กลับมาเติบโตได้

 

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของบริษัทฯ คาดการณ์ภาพรวมตลาดปูนซีเมนต์และสินค้าวัสดุก่อสร้างในประเทศในปี 2557 นี้ เติบโตลดลง โดยเฉพาะตลาดสินค้าวัสดุก่อสร้างอาจถึงกับชะลอตัวลงบ้าง ขณะที่ตลาดในภูมิภาคอาเซียนยังคงเติบโตได้ดี ด้านธุรกิจเคมีภัณฑ์อยู่ในช่วงขาขึ้นและฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากความต้องการสินค้าในตลาดโลกสูงขึ้น แต่ทิศทางการเติบโตของเศรษฐกิจจีนค่อยๆ ชะลอตัวลง

 

ด้านธุรกิจกระดาษคาดการณ์การส่งออกในอาเซียนดีขึ้น เนื่องจากความต้องการสินค้ากระดาษบรรจุภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ในอาเซียนเติบโตต่อเนื่อง ทั้งนี้ เอสซีจีเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจโดยรวมของอาเซียนยังคงเติบโตในระยะยาวจึงขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง สำหรับการส่งออก ในไตรมาส 1/2557 นี้ เอสซีจีมีรายได้จากการส่งออก 3.2 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% จากช่วงเดียวกันของปี 2556 และคาดว่ารายได้จากการส่งออกในปี 2557 นี้ จะเพิ่มขึ้นจากปี 2556 ปัจจุบัน สัดส่วนการส่งออกของเอสซีจีเพิ่มขึ้น 2% จากไตรมาสก่อนที่ 25% เป็น 27%

 

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการบริษัทเพื่อขยายการลงทุนในประเทศเพื่อนบ้าน โดยล่าสุดมี 3 โครงการ คือ (1) การจัดตั้งโรงงานผลิตปูนซีเมนต์ใน แขวงคำมวน สปป.ลาว กำลังการผลิต 1.8 ล้านตันต่อปี เริ่มผลิตได้ไตรมาสที่ 2 นี้ ใช้เงินลงทุน 10,000 ล้านบาท, (2) โครงการปรับปรุงเครื่องจักรของบริษัท ผลิตภัณฑ์กระดาษไทย จำกัด เพื่อผลิตกระดาษ Glassine ซึ่งเป็นวัสดุรองหลังเริ่มดำเนินการผลิตได้ภายในต้นปี 2559 ใช้เงินลงทุน 1,800 ล้านบาท และ (3) การร่วมทุนกับ Florim Ceramiche S.p.A. (Florim) ประเทศอิตาลี วงเงิน 506 ล้านบาท เพื่อลงทุนในโรงงานผลิตกระเบื้องเซรามิกระดับไฮเอนด์ ที่เมืองโบโลญญาทางตอนเหนือของประเทศอิตาลี ภายใต้แบรนด์ COTTO ด้วยกำลังการผลิต 5 ล้านตารางเมตรต่อปี โดยจะเริ่มดำเนินการผลิตได้ภายในต้นปี 2558

 

ที่มา : ไทยโพสต์