FACTORY VISIT

น้ำทิพย์ Thinking Water รับผิดชอบสิ่งแวดล้อม เป็นมิตรกับชุมชน
POSTED ON 29/11/2556


 

“น้ำทิพย์” จากกลุ่มธุรกิจโคคา-โคลา ในประเทศไทย เป็นน้ำดื่มภายใต้แนวคิด “น้ำทิพย์ คิดมาเพื่อโลก” ด้วยนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับความมุ่งมั่นของกลุ่มธุรกิจโคคา-โคลา ในการพัฒนาและสร้างสรรค์บรรจุภัณฑ์ให้สามารถเป็นทรัพยากรที่มีคุณค่าต่อไปและมีส่วนช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

 

การผลิตบรรจุภัณฑ์อย่างยั่งยืน ยังเป็นหนึ่งในความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจของโคคา-โคลาทั่วโลก และการสร้างสรรค์บรรจุภัณฑ์ใหม่ของน้ำดื่ม “น้ำทิพย์” ทำให้เราสามารถนำเสนอน้ำดื่มในบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมให้แก่ผู้บริโภค ทั้งยังสานต่อความตั้งใจของเราที่ต้องการช่วยให้โลกใบนี้ดีขึ้น

 

น้ำทิพย์เป็นผลิตภัณฑ์น้ำดื่มคุณภาพจากกลุ่มธุรกิจโคคา-โคลา ในประเทศไทย มีประวัติยาวนานกว่า 34 ปี โดยบริษัท ไทยน้ำทิพย์ จำกัด ได้เริ่มวางจำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำดื่ม “น้ำทิพย์” ในปี พ.ศ.2521 ในรูปแบบขวดแก้วประเภทคืนขวด ต่อมาในปี พ.ศ.2544 เครื่องหมาย “น้ำทิพย์” ได้รับการจดทะเบียนร่วมกับระหว่างบริษัท ไทยน้ำทิพย์ จำกัด และบริษัท โคคา-โคลา (ประเทศไทย) จำกัด และในปีเดียวกัน กลุ่มธุรกิจโคคา-โคลา ในประเทศไทย ได้เปลี่ยนบรรจุภัณฑ์น้ำดื่ม “น้ำทิพย์” เป็นขวดพลาสติก PET ขวดกลมทรงสูง และเพิ่มปริมาณน้ำจาก 500 มิลลิลิตร เป็น 600 มิลลิลิตร

 

ปัจจุบัน น้ำดื่มน้ำทิพย์ได้รับความนิยมอย่างสูงจากผู้บริโภค ติดอันดับ 1 ใน 5 แบรนด์น้ำดื่มยอดขายสูงสุดในประเทศไทย

 

 

น้ำทิพย์โฉมใหม่

 

นายฐานันท์ สุวรรณรักษ์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด แผนกพัฒนาธุรกิจ บริษัท โคคา-โคลา (ประเทศไทย) จำกัด เผยว่า การผลิตโฉมน้ำทิพย์ เป็นอีกก้าวหนึ่งของความมุ่งมั่นของกลุ่มธุรกิจโคคา-โคลา ในการสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ให้แก่โลก ภายใต้แนวคิดด้านความยั่งยืน ที่เราได้ให้คำมั่นกับลูกและผู้บริโภคของเราว่าจะผลิตเครื่องดื่มที่เปี่ยมด้วยคุณภาพ พร้อมกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน และสร้างความรู้และความความเข้าใจเกี่ยวกับความสำคัญของการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ผ่านการสื่อสารการตลาดด้วย 3 ขั้นตอน และเข้ากับชีวิตประจำวัน คือ (1) เลือก (2) ดื่ม และ (3) บิด

 

น้ำทิพย์ในขวดอีโค-ครัช (Eco-Crush) ใช้นวัตกรรมการบรรจุภัณฑ์พีอีทีเบาพิเศษ ทำให้สามารถลดการใช้วัตถุดิบพลาสติกลงถึงร้อยละ 35 เมื่อเทียบกับขวดแบบเดิม นับเป็นขวดพีอีทีบรรจุเครื่องดื่มที่มีน้ำหนักเบาที่สุดในประเทศไทย เมื่อเทียบกับน้ำหนักพลาสติกพีอีทีต่อขนาดบรรจุ (กรัมต่อมิลลิลิตร) (10.7 กรัม จากเดิม 16.5 กรัม สำหรับขวดขนาดบรรจุ 550 มิลลิลิตร) โดยยังคงคุณภาพและความแข็งแรงของขวดตามมาตรฐานสูงสุดของโคคา-โคลา

 

มีความโดดเด่นในเรื่องการออกแบบให้ง่ายต่อการบิดเมื่อดื่มหมด เพื่อช่วยลดพื้นที่และเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บวัสดุรีไซเคิล ใช้ฝาขวดที่มีขนาดสั้นลง เพื่อลดการใช้ทรัพยากรและช่วยลดน้ำหนัก โดยที่บรรจุภัณฑ์สามารถนำไปรีไซเคิลได้ทั้งหมด และเนื่องจากตัวขวดที่ใส ไม่เจือสีที่ไม่ จึงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการรีไซเคิลได้ดีที่สุด ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย นอกจากนี้ คุณภาพการรีไซเคิลขวดใสยังให้ผลลัพธ์ใกล้เคียงกับเม็ดพลาสติกบริสุทธิ์ได้มากกว่าการรีไซเคิลขวดพลาสติกแบบสี

 

 

ธนาคารรีไซเคิล

 

กลุ่มธุรกิจโคคา-โคลา ประเทศไทย ได้จัดโครงการธนาคารรีไซเคิลเพื่อให้พนักงาน และชุมชนในพื้นที่ได้มีส่วนร่วมในการนำวัสดุรีไซเคิลมาฝากธนาคาร เพื่อนำไปรีไซเคิลต่อไป โดยพนักงานโรงงานรังสิตถือเป็นพนักงานที่มีส่วนร่วมในกิจกรรมธนาคารรีไซเคิลมากที่สุด

 

นวัตกรรมการผลิตที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม

 

กลุ่มธุรกิจโคคา-โคลา ในประเทศไทย ได้ลงทุนกว่า 700 ล้านบาท เมื่อปลายปี พ.ศ.2554 ได้ติดตั้งสายการผลิตไนโตรฟิลด์ (Nitro-Fill) ซึ่งเป็นสายการผลิตใหม่ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุด ณ โรงงานรังสิต ของบริษัท ไทยน้ำทิพย์ จำกัด โดยเครื่องจักรที่ใช้เทคโนโลยีในการผลิตที่ทันสมัย มีความเร็วในการผลิตสูง สามารถผลิตน้ำทิพย์ขนาด 550 มิลลิลิตร ได้ถึง 1,200 ขวดต่อนาที ซึ่งเป็นหนึ่งในสายการผลิตที่มีความเร็วสูงที่สุดในกลุ่มโคคา-โคลา ในประเทศไทย และในภูมิภาคอาเซียน

 

สายการผลิตไนโตรฟิลด์ (Nitro-Fill) เป็นกระบวนการผลิตแบบครบวงจร โดยเริ่มตั้งแต่ขั้นตอนการนำพลาสติก Pre-Form มาผ่านกระบวนการเป่าเป็นขวดบรรจุภัณฑ์ขนาดจริงด้วยอุณหภูมิร้อนสูง ตามด้วยขั้นตอนการบรรจุน้ำดื่ม จากนั้นมีการบรรจุก๊าซไนโตรเจนเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของขวด ปิดฝา ไปจนถึงขั้นตอนการตรวจสอบคุณภาพบรรจุภัณฑ์

 

โดยขวดที่ได้มาตรฐานจะถูกลำเลียงต่อไปเพื่อติดฉลากเครื่องหมายสินค้า และสิ้นสุดที่การบรรจุแพ็คพร้อมขนส่ง ซึ่งจะช่วยประหยัดเวลา ประหยัดพลังงาน และทรัพยากรในการผลิต เมื่อเทียบกับการผลิตน้ำดื่มน้ำทิพย์ในรูปแบบเดิม ซึ่งปัจจุบันกลุ่มธุรกิจโคคา-โคลา ในประเทศไทย เป็นผู้ผลิตเครื่องดื่มรายเดียวในไทยที่ได้ติดตั้งเครื่องจักรนี้

 

ด้วยเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัย พร้อมด้วยนวัตกรรมที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ด้วยการลดปริมาณวัตถุดิบและทรัพยากรเชื้อเพลิงและพลังงานไฟฟ้าในทุกขั้นตอน

 

• ขวด”อีโค-ครัช” ใช้นวัตกรรมบรรจุภัณฑ์พีอีทีเบาพิเศษที่มีน้ำหนักเบาที่สุดคือเมื่อเทียบกับบรรจุภัณฑ์น้ำดื่มอื่นๆ ของกลุ่มธุรกิจโคคา-โคลา ในภูมิภาคอาเซียน

 

• ประหยัดพลังงานไฟฟ้าในการผลิตต่อหนึ่งขวดได้ 0.0026 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง คิดเป็นร้อยละ 6 เมื่อเทียบกับสายการผลิตแบบเดิม โดยตลอดทั้งปีจะสามารถประหยัดพลังงานได้ถึง 1,171,021.61 กิโลวัตต์

 

• ด้วยน้ำหนักของขวดที่ลดลงจากขวดแบบเดิม ทำให้สามารถประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงในการขนส่งได้ 0.0041 ลิตร/ขวด คิดเป็นประมาณ 1,862,358.50 ลิตร/ต่อปี

 

• ลดการสร้างคาร์บอนฟุตพริ้นท์ลง เมื่อเทียบกับน้ำดื่มน้ำทิพย์ในแบบเดิม

 

 

โรงงานผลิตเครื่องดื่มระดับมาตรฐานสากล ด้วยการบริหารจัดการอย่างยั่งยืน

 

โรงงานผลิตเครื่องดื่มของบริษัท ไทยน้ำทิพย์ ที่รังสิต เป็นโรงงานที่มีขนาดใหญ่ที่สุด และมีกำลังการผลิตสูงสุดของกลุ่มธุรกิจโคคา-โคลาในภูมิภาคอาเซียน หรือจัดเป็นโรงงาน Mega Plant โรงหนึ่งในภูมิภาค ทั้งยังได้รับการรับรองมาตรฐานระดับสากล และการรองรับจากสถาบันรับรองมาตรฐานไอเอสโอ (สรอ.) ในหลายด้าน ได้แก่

 

• ระบบการจัดการสุขลักษณะที่ดีในสถานประกอบการตามมาตรฐาน GMP STANDARD CODEX Rev.4-2003 ของกรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์

 

• ระบบความปลอดภัยในการผลิตอาหาร GMP STANDARD No.193 B.E. 2000 Food and Drug Administration ของกระทรวงสาธารณสุข

 

• แนวทางปฏิบัติในการควบคุมความปลอดภัยในผลิตภัณฑ์อาหาร PAS 220:2008 Prerequisite Programmers on Food Safety for Food Manufacturing

 

• ระบบวิเคราะห์อันตรายและจุดวิกฤตที่ต้องควบคุมในการผลิตอาหาร HACCP Codex Aliment Arius Annex to CAC/RCP 1-1969 Rev.4-2003

 

• ระบบการจัดการความปลอดภัยของอาหาร ตามมาตรฐาน ISO 22000:2005

 

• ระบบบริหารงานคุณภาพ ตามมาตรฐาน ISO 9001:2008

 

• ระบบจัดการสิ่งแวดล้อม ตามมาตรฐาน ISO 14001:2004

 

นอกจากความมุ่งมั่นด้านบรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อม กลุ่มธุรกิจโคคา-โคลา ยังมีความมุ่งมั่นด้านการจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน เริ่มต้นจากการใช้น้ำในการผลิตและบรรจุขวดเครื่องดื่มอย่างมีประสิทธิภาพและรับผิดชอบ และยังประสบความสำเร็จในการลดอัตราการใช้น้ำภายในโรงงานผลิตลงร้อยละ 23.4 ภายในระยะเวลา 8 ปีที่ผ่านมา และมีระบบการจัดการน้ำเสียที่เข้มงวด เพื่อให้แน่ใจว่าน้ำที่ผ่านการบำบัดคืนกลับสู่ธรรมชาติจะต้องสะอาดและอยู่ในระดับที่สัตว์น้ำสามารถอาศัยอยู่ได้อย่างปลอดภัย ปัจจุบันบริษัทฯ มีบ่อบำบัดน้ำเสียทั้งสิ้น 4 บ่อ บนพื้นที่ประมาณ 50-60 ไร่