EVENT & SEMINAR

สสว. ร่วมกับ หอการค้าไทย จัดงาน "AEC and SMEs Challenges: Next Steps (Phase 5)"
POSTED ON 28/08/2557


 

สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม  (สสว.) ร่วมกับ หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย จัดงานสัมมนาใหญ่ครั้งสำคัญประจำปี 2557 “AEC and SMEs Challenges: Next Steps (Phase 5)” โดยเน้นในเรื่องของการขับเคลื่อนและเชื่อมโยงธุรกิจ SMEs ไทยสู่ภูมิภาคอาเซียน+6 เพื่อสร้างความรู้และพัฒนาให้ผู้ประกอบการ SMEs ไทย มีความพร้อมในการปรับตัวสามารถหาโอกาสทางการค้าและการลงทุนในอาเซียน+6 และส่งเสริมให้เกิดการรวมกลุ่มเพื่อเชื่อมโยงเครือข่ายผู้ประกอบการ SMEs ไทยในทุกภูมิภาค

 

ดร.วิมลกานต์  โกสุมาศ รองผู้อำนวยการและรักษาการตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยว่า สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ สสว.ได้ร่วมกับหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เตรียมจัดสัมมนาใหญ่ AEC and SMEs Challenges : Next Steps (Phase 5) ซึ่งนับเป็นปีที่ 5 ติดต่อกัน โดยการจัดกิจกรรมนี้ก็เพื่อเป็นการขับเคลื่อนและเชื่อมโยงธุรกิจ SMEs ไทยสู่ภูมิภาคอาเซียน+6 ให้ผู้ประกอบการไทยสามารถพัฒนาศักยภาพในการแข่งขันให้ธุรกิจ SMEs เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนในภูมิภาค

 

นอกจากนี้ ยังเป็นการเตรียมพร้อมให้กับผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ต่อผลกระทบทั้งทางด้านบวกและด้านลบที่จะเกิดขึ้น เมื่อไทยก้าวไปเป็นส่วนหนึ่งของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community : AEC) อย่างสมบูรณ์ในปี 2558 โดยได้แบ่งการดำเนินงานออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ (1) การวางนโยบายความร่วมมือระหว่างประเทศซึ่ง สสว. ได้ดำเนินการร่วมกับประเทศอาเซียนภายใต้กรอบของคณะทำงานด้านวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมอาเซียน (ASEAN SME Agencies Working Group : ASEAN SMEWG) และ (2) การพัฒนาผู้ประกอบการ SMEs และโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นในประเทศ

 

นอกเหนือจากความร่วมมือภายใต้กรอบประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนแล้ว การเจรจาความตกลงพันธมิตรทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership : RCEP) ซึ่งเป็นความตกลงการค้าเสรีระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน 10 ประเทศ และประเทศนอกกลุ่มอาเซียนอีก 6 ประเทศ ได้แก่ จีน อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ เป็นอีกความร่วมมือระหว่างประเทศอีกกรอบหนึ่ง ซึ่งอาเซียนกำลังดำเนินงานต่อเนื่องเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของการรวมตัว เพื่อสร้างให้ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนเป็นภูมิภาคที่สามารถบูรณาการระบบเศรษฐกิจของตนเข้ากับระบบเศรษฐกิจภายนอกภูมิภาคได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถรักษาบทบาทของอาเซียนในการเป็นแกนกลางขับเคลื่อนการรวมกลุ่มเศรษฐกิจที่ใหญ่ขึ้นในภูมิภาคไว้ในขณะเดียวกัน

 

หลักการสำคัญของ RCEP คือ เป็นการสร้างผลประโยชน์ร่วมกัน โดยจะพัฒนาต่อยอดจากความตกลงการค้าเสรีในปัจจุบันของอาเซียนกับประเทศคู่เจรจา โดยมีเป้าหมายสำคัญที่จะทำให้ความตกลง RCEP เป็นความตกลงที่มีลักษณะเป็น Comprehensive Agreement ครอบคลุมทุกมิติ ที่มีมาตรฐานสูง ประกอบไปด้วยความร่วมมือทั้งในมิติเชิงลึกและมิติเชิงกว้างกับประเทศต่างๆ ในภูมิภาค ส่งเสริมให้เกิดการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในภูมิภาค โดย RCEP จะเป็นความตกลงยุคใหม่ของอาเซียนที่จะพัฒนาต่อยอดจากความตกลงการค้าเสรีที่อาเซียนมีอยู่แล้ว 5 ฉบับ กับ 6 ประเทศ  ได้แก่ อาเซียน-จีน, อาเซียน-ญี่ปุ่น, อาเซียน-เกาหลี, อาเซียน-อินเดีย และอาเซียน-ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์

 

ด้าน นายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า นับตั้งแต่ปี 2553 คณะกรรมการ AEC Prompt สภาหอการค้าแห่งประเทศไทยได้ร่วมกับ สสว. ดำเนินกิจกรรม AEC and SMEs Challenges: Next Steps ซึ่งเป็นการเสริมสร้างความรู้ในด้านช่องทางการค้าการลงทุนให้กับผู้ประกอบการ SMEs อย่างต่อเนื่อง

 

นอกจากนี้ ยังได้ดำเนินกิจกรรมเพื่อพัฒนาผู้ประกอบการสู่เส้นทางการลงทุนในภูมิภาคอาเซียนด้วย โดยมีกิจกรรมที่ได้ดำเนินการแล้วหลายประเทศ สำหรับการเจรจาความตกลงพันธมิตรทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค หรือ RCEP ถือเป็นหัวใจหลักที่จำเป็นจะต้องนำมาศึกษา ร่วมถกปัญหาให้ครอบคลุมประเด็นใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการค้าระหว่างประเทศในปัจจุบัน อาทิ การแข่งขันทางการค้า ทรัพย์สินทางปัญญา และสิ่งแวดล้อม เป็นต้น อันจะเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ในการรวมตัวกันของอาเซียนกับประเทศผู้เข้าร่วม และนับเป็นก้าวสำคัญของยุทธศาสตร์การค้าระหว่างประเทศของไทยและอาเซียน

 

ทั้งนี้ ในส่วนของประเทศไทย RCEP จะเป็นก้าวสำคัญของยุทธศาสตร์การค้าระหว่างประเทศของไทยตามนโยบายของรัฐบาลในการเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจการค้าและการลงทุนของประเทศ และเป็นยุทธศาสตร์สำคัญในการรักษา ขยายโอกาส และขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดที่สำคัญของประเทศ เนื่องจาก RCEP ครอบคลุมทุกมิติการค้า เพื่อเชื่อมโยงเครือข่ายการผลิต การค้า บริการ และการลงทุน รวมทั้งมีการปรับประสานกฎกติกาทางการค้าต่างๆ และกฎถิ่นกำเนิดสินค้าให้สอดคล้องกันมากขึ้น และจะเปิดกว้างผนวกประเด็นใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการค้าระหว่างประเทศในปัจจุบัน อาทิ นโยบายการแข่งขัน และทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกทางการค้าและการลงทุนของภาคเอกชนได้มากกว่าความตกลงที่มีอยู่

 

ปัจจุบันมูลค่าการค้าขายของไทยกับ RCEP ประมาณ 255,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 56% ของมูลค่าการค้ารวมของไทย หากมีการเปิดเสรี จะยิ่งทำให้ไทยมีโอกาสขยายการค้าไปยังประเทศในกลุ่มได้เพิ่มขึ้น ดังนั้น RCEP จึงเป็นยุทธศาสตร์สำคัญของอาเซียนในการบูรณาการเศรษฐกิจในภูมิภาคอาเซียนเข้ากับภายนอกภูมิภาคตามแผน AEC Blueprint

 

ด้วยเหตุนี้ ทั้ง สสว. และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย จึงเห็นถึงความสำคัญของการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับความตกลง RCEP ให้แก่ผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ของไทย เพื่อสร้างเสริมโอกาสการค้าและการลงทุนในภูมิภาค RCEP พร้อมทั้งตอบสนองต่อพลวัตรเศรษฐกิจของโลกปัจจุบัน และการรวมกลุ่มการค้าในภูมิภาคที่เพิ่มขึ้น ซึ่งหากการเจรจาเป็นผลสำเร็จ RCEP จะเป็นความตกลงที่มีผลกระทบสูง (high impact) ต่อเอเชียและแปซิฟิก และจะเป็นพื้นฐาน (Building block) หนึ่งที่สำคัญเคียงคู่กับความตกลงทางการค้า TPP (Trans-Pacific Partnership) และ CJK (China-Japan-Korea) ในการเจรจาความตกลงเปิดเสรีทางเศรษฐกิจการค้าในกลุ่มเอเปค หรือ FTAAP ในอนาคตอีกด้วย

 

สำหรับผลการดำเนินการกิจกรรม AEC and SMEs Challenges: Next Steps ตลอดระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา มีผู้สนใจเข้าร่วมฟังการสัมมนารวมทั้งสิ้นจำนวนกว่า 2,400 ราย และมีผู้ประกอบการเข้าร่วมกิจกรรมจับคู่ธุรกิจในต่างประเทศ ได้แก่ กัมพูชา เมียนมาร์ เวียดนาม และ อินโดนีเซีย จำนวนทั้งสิ้น 90 ราย เกิดการจับคู่ธุรกิจจำนวน 271 คู่ และเกิดโอกาสทางธุรกิจกว่า 147 ล้านบาท

 

ดังนั้น การส่งเสริมให้ผู้ประกอบการ SMEs ให้มีการเตรียมพร้อมสำหรับการก้าวสู่อาเซียน+6 จึงมีความสำคัญในฐานะที่อาเซียนเป็นภูมิภาคที่มีศักยภาพสูง ซึ่งต้องร่วมมือกันรักษาและขยายโอกาสทางการค้าและการลงทุน รวมทั้งเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และในปี 2557 นี้ สสว. ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในการดำเนินการกิจกรรมให้เกิดผลต่อเนื่อง จึงเสนอการดำเนินกิจกรรมในระยะที่ 5 ภายใต้ชื่อกิจกรรม AEC and SMEs Challenges: Next Steps (Phase 5) เพื่อขับเคลื่อนและเชื่อมโยงธุรกิจ SMEs ไทยสู่ภูมิภาคอาเซียน+6 เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยสามารถพัฒนาศักยภาพในการแข่งขันให้ธุรกิจ SMEs เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนในภูมิภาคต่อไป