ENVIRONMENT

นำน้ำเสียจากภาคอุตฯมาใช้ผลิตไฟฟ้าด้วยเทคโนโลยี Plasma Gasification
POSTED ON 08/09/2559


สิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม 8 ก.ย.2559 - ประเทศไทยยังคงต้องพึ่งพาแหล่งพลังงานจากต่างประเทศ โดยมีการนำเข้าพลังงานทั้ง น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหินและไฟฟ้า มากกว่าร้อยละ 55 ซึ่งพลังงานจากธรรมชาติเหล่านั้นนับวันจะมีปริมาณลดลง รัฐบาลได้กำหนดให้พลังงานทดแทนเป็นวาระแห่งชาติ ตามแผนพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก 15 ปี (พ.ศ. 2551 – 2565) โดยกำหนดเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทนให้ได้อย่างน้อยร้อยละ 25 ของการใช้พลังงานทั้งประเทศ โดยเน้นการใช้ทรัพยากรในประเทศในการผลิตกระแสไฟฟ้าเพื่อความยั่งยืนทางพลังงานของประเทศ และกระจายแหล่งเชื้อเพลิงเพื่อลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาเชื้อเพลิงชนิดใดชนิดหนึ่ง รวมไปถึงการเพิ่มการใช้พลังงานสะอาดหรือพลังงานหมุนเวียนด้วย

 

การจัดหาแหล่งพลังงานทดแทนจึงเป็นทางเลือกที่ต้องเร่งดำเนินการและมีความสอดคล้องกับที่รัฐบาลได้กำหนดนโยบายไว้ ปัญหาเรื่องปริมาณการใช้น้ำของประเทศทั้งจากภาคอุตสาหกรรม ภาคการเกษตร และครัวเรือนที่เพิ่มขึ้น ก่อให้เกิดปัญหาน้ำเสียและวิธีจัดการน้ำเสียยังเป็นปัญหาสำคัญและทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น แม้จะได้มีการออกนโยบายและมาตรการการจัดระบบน้ำเสียแล้วก็ตาม

 

เมื่อนำเป้าหมายการเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทนของประเทศผนวกเข้ากับแนวทางในการจัดการน้ำเสีย จึงก่อให้เกิดการพัฒนาก๊าซสังคราะห์จากน้ำเสียเพื่อผลิตไฟฟ้าประเภทพลังงานทดแทน เพื่อเป็นทางออกที่ช่วยลดผลกระทบด้านมลภาวะในสิ่งแวดล้อม เนื่องจากเป็นแหล่งพลังงานที่ทดแทนที่สะอาดและไม่มีมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม และมีศักยภาพสูงที่จะพัฒนาให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่เพื่อใช้ในประเทศ และยังสามารถช่วยแก้ปัญหาการจัดการน้ำเสียและลดปัญหามลพิษทางน้ำในประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

ดร.สุประวีณ์ วิรัชภรณ์รวี ประธาน บริษัท สุประวีณ์ เอนเนอร์จี้ 19 จำกัด กล่าวว่า บริษัทฯได้ร่วมมือกับบริษัทจากประเทศสหรัฐอเมริกาพัฒนาเทคโนโลยีพลาสม่า ก๊าซซิฟิเคชั่น (Plasma Gasification) ซึ่งสามารถนำน้ำเสียจากภาคอุตสาหกรรมและภาคการเกษตรมาใช้เป็นแหล่งผลิตกระแสไฟฟ้าและช่วยแก้ปัญหาและบริหารจัดการน้ำเสียให้แก่ชุมชม โครงการดังกล่าวนี้หากได้รับอนุมัติจะเริ่มดำเนินการที่จังหวัดเพชรบุรีเป็นที่แรกและจะขยายผลไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ที่มีศักยภาพต่อไป

 

ประโยชน์ที่จะได้รับจากโครงการนี้ คือ (1) ภาครัฐได้รับซื้อไฟในราคาประหยัด (2) ช่วยลดปริมาณน้ำเสียจากภาคอุตสาหกรรม ภาคการเกษตร และมลพิษในชุมชน และ (3) ใช้ระยะเวลาในการก่อสร้างสั้นและสามารถเชื่อมต่อระบบในการจำหน่ายไฟได้เร็วเมื่อเทียบกับแหล่งพลังงานไฟฟ้าประเภทอื่น ๆ

 

ดร.สุประวีณ์ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า เมื่อปีที่ผ่านมา บริษัทฯได้ยื่นเสนอขอดำเนินโครงการพัฒนาก๊าซสังเคราะห์ที่ผลิตได้จากน้ำเสียอุตสาหกรรมเพื่อนำไปผลิตกระแสไฟฟ้า ด้วยกำลังการผลิต 8 เมกกะวัตต์ต่อชั่วโมง และเสนอขายไฟฟ้าที่ผลิตได้จากโครงการฯให้กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ) ซึ่งขณะนี้โครงการฯได้ผ่านการพิจารณาแล้วว่าเป็นไปตามระเบียบในการรับซื้อไฟฟ้า และไม่เกินกรอบเป้าหมายการส่งเสริมไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน (AEDP) และสอดคล้องกับหลักเกณฑ์การพิจารณารับซื้อไฟฟ้าที่คณะกรรมการบริหารมาตรการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนกำหนดไว้

 

โดยจากขอบเขตดังกล่าว กฟภ.สามารถพิจารณาตอบรับซื้อได้เอง อีกทั้งเป้าหมายการผลิตไฟฟ้าของแผน (AEDP) 2015 กำหนดเป้าหมายการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซชีวภาพไว้ที่ 600 เมกกะวัตต์ ในปี 2579 ในปัจจุบันสภาพการผลิตไฟฟ้าทำได้เพียง 300 – 400 เมกกะวัตต์ ยังต้องทำเพิ่มอีกจำนวนมาก ซึ่งการเสนอขายไฟฟ้าจากโครงการฯไม่เกินกรอบเป้าหมายของแผน AEDP

 

“บริษัทฯมีความมั่นใจอย่างมากว่าโครงการนี้เป็นโครงการที่มีศักยภาพและจะช่วยสร้างโอกาสให้กับประเทศในการที่จะมีแหล่งผลิตพลังงานทดแทนทางเลือกใหม่ที่สะอาดและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในราคาประหยัด ขณะนี้บริษัทฯ มีความพร้อมในการสร้างโรงงานผลิตไฟฟ้าทั้งด้านความพร้อมด้านเงินทุน เทคโนโลยี และที่ดิน ซึ่งสามารถทำการก่อสร้างโรงงานผลิตไฟฟ้าได้ทันทีที่ทาง กฟภ.ดำเนินการตอบรับซื้อไฟฟ้าและทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับทางบริษัทฯ” ดร.สุประวีณ์ กล่าว

 

นอกจากนี้ บริษัท สุประวีณ์ เอนเนอร์จี้ 19 จำกัด ยังมีเป้าหมายที่จะก้าวสู่การเป็นผู้ผลิตไฟฟ้าประเภท Waste to Energy อย่างเต็มตัวและพร้อมร่วมบริหารจัดการกากของเสียให้แก่อุตสาหกรรมทุกประเภท อีกทั้งบริษัทฯมีแผนการเปิดโรงไฟฟ้าประเภท SPP ขนาด 90 เมกกะวัตต์ จำนวน 2 โรง ภายในปี 2561 รวมกำลังผลิตของบริษัทฯ ทั้งสิ้น 188 เมกกะวัตต์

 

Tags : อุตสาหกรรม, ข่าวอุตสาหกรรม, สื่ออุตสาหกรรม, โรงงาน, เครื่องจักรกล, การผลิต, พลังงาน, โลจิสติกส์, Industry, Industrial, Industrial News, Industrial Media, Factory, Machinery, Machine, Manufacturing, Energy, Logistics