สิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม - นายพสุ โลหารชุน อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) กระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กรมฯ อยู่ในช่วงเร่งผลักดันโรงงานที่รับใบอนุญาต รง.4 เข้าสู่ระบบรายงานกากอุตสาหกรรมที่ออกจากโรงงานเพื่อไปสู่การกำจัดที่ถูกต้อง โดยเฉพาะซากหรือขยะอิเล็กทรอนิกส์ หลังจากพบว่าผู้ที่ได้รับใบอนุญาต รง.4 จำนวน 80,000 แห่งทั่วประเทศ (ไม่รวมโรงงานขนาดกลางและขนาดเล็กที่ไม่ต้องขออนุญาต รง.4) มีเพียง 10,000 รายเท่านั้นที่มาเข้าระบบรายงานกากอุตสาหกรรมที่นำออกจากโรงงานไปกำจัด และในจำนวนนี้มีประมาณ 6,000 ราย ที่มีกากที่เป็นของเสียอันตรายรวมอยู่ด้วยโดยแบ่งเป็น 1,000 ราย จะเป็นกลุ่มโรงงานที่มีกากอันตรายที่มาจากกลุ่มอุตสาหกรรม 20 ประเภท และอีก 5,000 รายเป็นอุตสาหกรรมประเภทอื่นๆ จากที่มีอยู่ 107 ประเภท ทั้งที่จริงแล้วทั้ง 80,000 รายนั้นจะต้องมาเข้าระบบทั้งหมด

ส่าสุด กรมฯ มีแผนว่าภายในไตรมาสแรกของปี 2558 จะผลักดันผู้ประกอบการที่ได้รับใบอนุญาต รง.4 เข้าระบบเพิ่มอีก 5,000 แห่ง ในอุตสาหกรรม 20 ประเภท เช่น อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการใช้สารเคมี หล่อหลอมโลหะ อุตสาหกรรมเหล็ก การผลิตสีและพ่นสีเคลือบสี เป็นต้น ที่คาดว่าจะมีปริมาณขยะอันตราย 60-70% ของกากขยะอันตรายทั้งหมดที่มี 3 ล้านตันต่อปี

"กรอ.จะเริ่มจากการทำหนังสือขอความร่วมมือให้โรงงานตรวจสอบการรายงานผล เรื่องกากขยะอันตราย รวมถึงกรมโรงงานอุตสาหกรรมเข้าไปตรวจสอบและขอให้โรงงานแสดงใบเสร็จในการกำจัดกากอันตรายออกจากโรงงาน ถ้าบริษัทไหนไม่ให้ความร่วมมือก็จะดำเนินการตามกฎหมายกรณีมีกากอันตรายแล้วไม่รายงาน"

นอกจากนี้ จะเข้าไปดูในส่วนของบริษัทรับกำจัดกากอันตรายและไม่อันตรายรวม 1,900 แห่งทั่วประเทศ โดยกรมโรงงานฯ จะคัดเลือก 496 แห่งที่เป็นโรงกำจัดของเสียอันตราย ที่กรมโรงงานฯ จะเข้าไปตรวจสอบก่อน เช่น โรงงานรีไซเคิล โรงงานฝั่งกลบกากอุตสาหกรรม และโรงงานที่มีเตาเผากากอุตสาหกรรม ว่ามีศักยภาพในการบำบัดกากได้จริงตามที่ขออนุญาตหรือไม่ และมีระบบขนส่งจากต้นทางไปยังปลายทางอย่างไร มีตัวตนหรือไม่

ปัจจุบันในประเทศมีขยะอันตรายรวมกันประมาณ 3 ล้านตันต่อปี ในจำนวนนี้จะเป็นขยะอันตรายที่อยู่ในระบบแล้ว 1 ล้านตันต่อปี ที่มีระบบขนส่งจากต้นทางไปยังปลายทางเพื่อไปกำจัดที่ถูกต้องยังเหลืออีกราว 2 ล้านตันที่ยังไม่เข้าระบบ และมีขยะไม่อันตรายกว่า 20 ล้านตันต่อปี ซึ่งในปี 2557 กรมโรงงานอุตสาหกรรมมีมาตรการนำขยะอันตรายมาเข้าสู่ระบบมากขึ้นจาก 1 ล้านตัน เพิ่มเป็น 1.2 ล้านตัน และเพิ่มเป็น 1.5 ล้านตันในปี 2558