ENVIRONMENT

ไฟไหม้บ่อขยะบางปู เริ่มเบาบาง พร้อมจี้รัฐคุมเข้มนโยบายสิ่งแวดล้อม
POSTED ON 20/03/2557


สิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม - ในแวดวงเรื่องสารพิษ โดยเฉพาะสารพิษอุตสาหกรรม มีคำว่า “ignorance is toxic” กล่าวคือสังคมบริโภคสมัยใหม่ประสบความล้มเหลวโดยสิ้นเชิงในการปกป้องผู้ที่ได้รับผลกระทบจากภัยสารพิษทั้งในทางตรงและทางอ้อม ไม่ว่าเราจะมีโครงสร้าง องค์กรและข้อกำหนดกฎเกณฑ์ที่นำมาใช้มากมายเพียงใด

 

เหตุการณ์ไฟไหม้บ่อขยะเนื้อที่ 150 ไร่ ในซอยแพรกษา 8 อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ ที่เกิดขึ้นในวันที่ 16 มีนาคม 2557 ที่ผ่านมา เป็นประจักษ์พยานที่ชัดเจน ซึ่งเหตุไฟไหม้บ่อขยะครั้งนี้ได้กลายเป็นหายนะ กลิ่นเหม็น และควันไฟ ทำให้ชาวบ้าน 3 ชุมชน 1,480 ครอบครัว อพยพออกจากพื้นที่ในตำบลแพรกษา เพราะหลังจากผ่านไป 30 ชั่วโมง หลังเกิดเหตุ แม้จะมีความพยายามของเจ้าหน้าที่ป้องกันบรรเทาสาธารณภัยในการทำให้เพลิงสงบลง กลุ่มควันสีขาวยังลอยปกคลุมไปถึงย่านบางนาและศรีนครินทร์ และขณะนี้ชาวบ้านจำนวนมากขึ้นต้องอพยพหนีควันพิษ

 

กรมควบคุมมลพิษทำการตรวจวัดห่างจุดเกิดเหตุในรัศมี 200 เมตร พบว่า ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ และ ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ อยู่ในเกณฑ์ทำให้เกิดพิษเฉียบพลัน การวัดโดยตรงที่กองขยะพบควันพิษสูงเกินมาตรฐานไปถึง 6 เท่าหรือ 175 พีพีเอ็ม หากสูดเข้าไปมากๆ จะวิงเวียน หัวใจเต้นเร็ว แน่นหน้าอก ถึงขั้นหมดสติ และเสียชีวิตได้ นอกจากนี้ ควันพิษที่เกิดขึ้นยังทำให้เกิดสารอินทรีย์ระเหย และสารไดออกซินฟิวแรนซึ่งทั้ง 2 กลุ่ม เป็นสารก่อมะเร็ง

 

ส่วนในระยะที่ตรวจวัด 500 เมตร ห่างจากที่เกิดเหตุ มีค่าความเข้มข้นของก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ในบรรยากาศที่ระดับ 5-8 ส่วนในล้านส่วน (ppm) และในระยะที่ตรวจวัด 1 กิโลเมตร ห่างจากที่เกิดเหตุ มีค่าความเข้มข้นของก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ในบรรยากาศที่ระดับ 2-4 ส่วนในล้านส่วน (ppm) ซึ่งมีค่าสูงกว่าขีดจำกัดการรับสัมผัสสารเคมีแบบเฉียบพลันแบบร้ายแรง (AEGL-2) ซึ่งกำหนดไว้ไม่เกิน 0.75 ส่วนในล้านส่วน (ppm) และอาจทำให้ประชาชนมีอาการระคายเคืองอย่างรุนแรงต่อระบบทางเดินหายใจ

 

สำหรับอันตรายของสารพิษ มีดังนี้ (1) คาร์บอนไดออกไซด์ เมื่อสูดเข้าร่างกาย จะทำให้หายใจเร็ว ความดันโลหิตสูงขึ้น หัวใจเต้นเร็ว หากได้รับปริมาณมาก จะมีผลกดสมอง มึนงง สับสน อาจหมดสติ เสียชีวิตได้ (2) สารฟอร์มาดีไฮด์ ทำให้ระคายเคืองเนื้อเยื่อทางเดินหายใจ ในระยะยาวทำให้เกิดโรคต่อถุงลมปอด ส่วนพิษในระยะเฉียบพลันคือแสบตา ระคายเคืองทางเดินหายใจ แน่นหน้าอก หายใจหอบ หากสูดดมไอระเหยเข้มข้นสูงมากตั้งแต่ 100 ppm อาจทำให้เสียชีวิตได้ (3) คาร์บอนมอนอกไซด์ มีผลทำให้ออกซิเจนไม่สามารถรวมตัวกับเฮโมโกบินในเลือดได้ ทำให้ร่างกายขาดออกซิเจน เกิดอาการวิงเวียนศีรษะ หัวใจเต้นเร็ว คลื่นไส้อาเจียน ถึงขั้นหมดสติและเสียชีวิตได้ และ (4) สารซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ทำให้ชีพจรเต้นถี่ แน่นหน้าอก หากได้รับในปริมาณเข้มข้นสูง อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในกลุ่มอ่อนแอ เช่น ผู้ป่วยโรคหอบหืด ผู้ป่วยโรคหัวใจ โรคปอด และผู้สูงอายุ

 

ทั้งนี้ ได้มีการแจ้งเตือนประชาชนในการหลีกเลี่ยงการรับสัมผัสสารเคมีในบรรยากาศ เช่น การอพยพออกนอกพื้นที่ การสวมใส่หน้ากากป้องกันสารเคมี หรือ การใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำแทนหน้ากาก เป็นต้น ในพื้นที่รัศมี 1.5 กิโลเมตร ห่างจากพื้นที่เกิดเหตุ (ม.แกลเลอรี่ ม.เนเจอร่า สุขุมวิท-แพรกษา ชุมชนบ้านสวัสดี ม.ศุภลัยวิลล์ และ ม.ปัญฐิญา แพรกษา ม.ทรัพย์ธานี) โดยล่าสุดควันไฟพิษได้ครอบคลุมหลายพื้นที่กว้างไปถึงประเวศ บางนา สะพานสูง ลาดกระบัง คลองสามวา มีนบุรี และบึงกุ่ม

 

บ่อขยะเอกชนแห่งนี้มีชื่อ "นายกรมพล สมุทราสาคร" เป็นผู้เช่าพื้นที่ 3 ปี แต่ใบอนุญาตจากอุตสาหกรรมจังหวัดระบุว่าใช้ทำโรงงานปุ๋ยเคมี ซึ่งสัญญาเช่ายังอยู่ระหว่างปีที่ 2 ขัดแย้งกับข้อมูลที่ได้จาก นายก อบต.แพรกษา ที่บอกว่าชาวบ้านเอาขยะมาทิ้งเอง และไม่ได้อนุญาตเปิดบ่อขยะอย่างถูกต้อง หลังเพลิงสงบจะหาทางกำจัด และประกาศปิดบ่อทันที

 

ทว่า การเปิดเผยของเจ้าหน้าที่ DSI พบข้อมูลที่น่าตกใจว่ าไฟไหม้บ่อขยะที่แพรกษาเป็นกากอุตสาหกรรมที่ลักลอบมาจากนิคมอุตสาหกรรมบางปูนำขยะมาทิ้งไว้ แต่เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามจาก ดร.สุรพล ซามาตย์ ผู้ช่วยปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม คำตอบในขั้นต้นคือ ยังไม่ทราบว่ามีกากอุตสาหกรรม เท่าที่ตนทราบคือ เป็นขยะเทศบาล

 

ไฟจากหลุมฝังกลบ (Landfill fire) นั้นอยู่คู่กับสังคมมนุษย์สมัยมานับทศวรรษแล้ว มันเป็นปัญหาที่สลับซับซ้อน ไฟจากหลุมฝังกลบเป็นภัยคุกคามด้านสิ่งแวดล้อม เมื่อเกิดขึ้นจะมีการปล่อยสารพิษออกสู่อากาศ น้ำและดิน ที่สำคัญมีความเสี่ยงต่อนักผจญเพลิงและประชาชนโดยรอบที่สูดหายใจเอาสารพิษเข้าไป

 

ในสหรัฐอเมริกา การแบ่งแยกที่ชัดเจนระหว่างหลุมฝังกลบขยะเทศบาล (Municipal Waste Landfill) หลุมฝังกลบขยะอุตสาหกรรม (Industrial Waste) ทำให้หน่วยงานที่ทำหน้าที่ดูแลอย่างองค์กรพิทักษ์สิ่งแวดล้อมแห่งสหรัฐอเมริกา (USEPA) สามารถระบุปัญหาและติดตามตรวจสอบการเกิดไฟจากหลุมฝังกลบ อย่างน้อยก็ทันท่วงที

 

ข้อมูลในด้านองค์ประกอบของขยะ แหล่งที่มา จำนวนของหลุมฝังกลบแต่ละประเภท ตลอดจนนโยบาย ข้อบังคับ บทลงโทษ และมาตรการที่ชัดเจนในการจัดการขยะและกากของเสีย ประกอบเข้ากับการมีบัญชีรายชื่อการปล่อยสารพิษออกสู่สิ่งแวดล้อมที่เรียกว่า Toxic Release Inventory (หรือในระดับระหว่างประเทศที่ใช้ระบบ Pollutant Release and Transfer Register - PRTR) ที่สาธารณะชนมีสิทธิเข้าถึงข้อมูลได้นั้น ได้เอื้อให้ USEPA บริการจัดการกับไฟจากหลุมฝังกลบอย่างค่อนข้างมีประสิทธิภาพ

 

ถ้าระดับผู้ช่วยปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม หรือแม้แต่กรมควบคุมมลพิษยังไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ในหลุมฝังกลบขยะที่แพรกษา และต่อไปถ้ายังไม่สามารถใช้มาตรการทางกฎหมายที่มีอยู่เพื่อลงโทษผู้ละเมิด เราก็เชื่อแน่ว่าภัยพิบัติครั้งนี้ (ซึ่งไม่ใช่ครั้งแรก) จะไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่เกิดขึ้น และนี่คือความละเลยของนโยบายสิ่งแวดล้อมโดยแท้

 

ที่มา : กรีนพีซ