พลังงานอุตสาหกรรม - นายณัฐชาติ จารุจินดา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารธุรกิจขั้นต้น ปตท. เปิดเผยถึงกรณีบริษัทลูกการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) จะเสนอให้ กฟผ.ลงทุนนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) เพื่อใช้ในโรงไฟฟ้าในเครือของ  กฟผ.ทั้งหมดว่า กลุ่ม ปตท.ไม่ขัดข้องที่กลุ่ม กฟผ.จะนำเข้าแอลเอ็นจีด้วยตัวเอง เพราะการที่ ปตท.ลงทุนสร้างคลังแอลเอ็นจีนำเข้าในปัจจุบัน แทบจะไม่มีกำไรอยู่แล้ว เพราะคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) หรือเรกูเลเตอร์ ควบคุมค่าบริการของคลัง ให้คิดได้เฉพาะในส่วนต้นทุนการเงินเท่านั้น

นอกจากนี้ การนำเข้าแอลเอ็นจีก็ต้องเสนอขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในขณะที่การหาพื้นที่สร้างคลังใหม่ก็หายาก โดยปัจจุบันคลังแห่งแรกความจุ 5 ล้านตัน อยู่ในมาบตาพุดจังหวัดระยอง และกำลังก่อสร้างคลังที่ 2 อีก 5 ล้านตันในพื้นที่เดียวกัน กำหนดแล้วเสร็จในปี 2559 พร้อมทั้งเตรียมหาพื้นที่สร้างคลังที่ 3 อีก 5 ล้านตัน เพื่อรองรับการผลิตไฟฟ้าในระยะยาว 20 ปี

“ความต้องการใช้แอลเอ็นจีจะขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทั่วโลก เพราะนำไปเป็นเชื้อเพลิงทดแทนทั้งการผลิตไฟฟ้า การขนส่ง เช่น จีนต้องการนำไปทดแทนถ่านหินผลิตไฟฟ้ากว่า 100 ล้านตันต่อปี ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และประเทศอื่นๆ ก็มีความต้องการเพิ่มมากขึ้น ซึ่งกรณีเป็นเทรดเดอร์ของ ปตท. ก็จะมีลักษณะคล้ายกับญี่ปุ่น ที่เจรจาซื้อจากแหล่งต่างๆ แล้วนำไปขายต่อ ในขณะที่ ปตท.จะดำเนินการทั้งการเข้าไปลงทุนเป็นเจ้าของแหล่งก๊าซฯ ผ่าน บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (ปตท.สผ.) และค้าขายแอลเอ็นจีโดยตรง ซึ่งปัจจุบันนี้ ปตท.สผ.มีการลงทุนแหล่งในประเทศโมซัมบิก  ประเทศออสเตรเลีย รวมทั้งกลุ่ม ปตท.กำลังพูดคุยกับหลายแหล่งในสหรัฐอเมริกา เพื่อนำก๊าซฯ จากแหล่งดิน หรือเชลล์แก๊สไปจำหน่ายประเทศอื่นๆ” นายณัฐชาติ กล่าว