ENERGY

กกพ. ดันโครงการรับมือวิกฤติไฟฟ้าแบบถาวร เริ่มทดสอบเมษายนนี้
POSTED ON 11/01/2557


พลังงานอุตสาหกรรม - นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รมว.พลังงาน เปิดเผยว่า ในวันจันทร์ที่ 13 ม.ค.นี้ กระทรวงฯ ที่อยู่ในอาคารเอ็นโก้ ยังเปิดให้บริการตามปกติ แต่ได้มีแผนรองรับไว้แล้วหากข้าราชการไม่สามารถเข้ามาทำงานได้ ทางกระทรวงฯ ได้เตรียมแผนรับมือทั้งที่ทำงานสำรอง ระบบอินเตอร์เน็ตสำหรับการทำงานข้างนอก ทำให้การทำงานบริการประชาชนไม่สะดุด โดยในส่วนของบริษัทในกลุ่ม ปตท. การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ต่างมีแผนงานรองรับไว้แล้วเช่นกัน

 

ด้าน ศ.กิตติคุณ ดร.ดิเรก ลาวัณย์ศิริ ประธานกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เปิดเผยว่า คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ร่วมมือกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย คือ การไฟฟ้านครหลวง และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค พร้อมบริษัทเอกชนเดินหน้าโครงการนำร่องส่งเสริมการลดการใช้ไฟฟ้าในช่วงความต้องการไฟฟ้าสูงสุด หรือ Thailand Demand Response เพื่อทดสอบความพร้อมของกลไกบริหารการลดใช้ไฟฟ้าระหว่างวันที่ 8-10 ม.ค.นี้ ได้รับความสำเร็จเป็นอย่างดี สามารถลดปริมาณการใช้ไฟฟ้าในช่วงเวลาใช้ไฟสูงสุด (Peak Period) สูงถึง 100 เมกะวัตต์

 

โครงการ Thailand Demand Response นับเป็นโครงการนำร่องระยะสั้นเพื่อนำผลทดสอบที่ได้มาเตรียมรับมือวิกฤติพลังงานที่จะเกิดขึ้นอีกในอนาคต จากกรณีนี้ กกพ.ได้ผลักดันให้มีโครงการรับมือวิกฤติไฟฟ้าแบบถาวร คือโครงการ Critical Peak Pricing (CPP) ซึ่งจะเริ่มทดสอบในช่วงที่แหล่งก๊าซบงกชในอ่าวไทยจะหยุดซ่อมในเดือนเมษายน 2557 นี้ และเจดีเอในช่วงเดือนมิถุนายน 2557 โดย กกพ.ตั้งเป้าว่า CPP จะสามารถลดการใช้ไฟฟ้าได้ถึง 2,000 เมกะวัตต์ ซึ่งโครงการ CPP แบบถาวรนี้ ถือเป็นเครื่องมือใหม่ในการสร้างความมั่นคงด้านพลังงานให้ประเทศ

 

ในขณะนี้โครงการฯ ได้รับความสนใจจากภาคเอกชนในการเข้าร่วมในระดับที่น่าพอใจ โดยมีผู้ประกอบการพร้อมให้ความร่วมมือแล้ว 10 ราย รวมจำนวนกว่า 350 มิเตอร์ ประกอบด้วย บริษัท เหล็กก่อสร้างสยาม, บริษัท เหล็กสยาม (2001), บริษัท ธนากรผลิตภัณฑ์น้ำมันพืช, เทสโก้ โลตัส, สยามพิวรรธน์, เซ็นทรัลพัฒนา, สยามแม็คโคร, บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์, สยามพารากอน และปูนซีเมนต์เอเซีย คิดเป็นการลดการใช้ไฟฟ้ารวมประมาณ 100 เมกะวัตต์

 

อย่างไรก็ตาม เป้าหมายในการดำเนินโครงการในครั้งนี้คือ การลดปริมาณการใช้ไฟฟ้าให้ได้ประมาณ 200 เมกะวัตต์ ด้วยเทคโนโลยี Demand Response ซึ่งหากสามารถลดได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ จะทำให้ประหยัดการใช้น้ำมันเตาได้ถึง 25.2 ล้านบาท ซึ่งหมายถึงค่าเอฟทีในงวดถัดไปจะลดลงได้ประมาณ 0.05 สตางค์ต่อหน่วย