ENERGY

ปตท. ปรับยุทธศาสตร์ 5 ปี ทุ่ม 7.6 หมื่นล้านบาท ขยายธุรกิจท่อน้ำมัน
POSTED ON 02/01/2557


พลังงานอุตสาหกรรม - นายสรัญ รังคสิริ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปตท.ได้ปรับยุทธศาสตร์ในช่วง 5 ปี (ปี 2557-2561) จากเดิมที่มุ่งเน้นการเติบโตอย่างรวดเร็ว เป็นการสร้างความสมดุลระหว่างการเติบโตทางธุรกิจกับยุทธศาสตร์อีก 3 ด้านหลักที่สำคัญ คือ (1) การสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน โดยจะลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับความต้องการด้านพลังงานของประเทศที่เพิ่มขึ้น เช่น การลงทุนคลังก๊าซปิโตรเลียมเหลว (แอลพีจี) คลังก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) ท่อส่งน้ำมัน เป็นต้น (2) การเพิ่มผลตอบแทนการลงทุนให้สูงขึ้น ด้วยการวางแผนลดค่าใช้จ่าย และ (3) สร้างความแข็งแกร่งทางการเงิน ด้วยการรักษาสัดส่วนหนี้สินต่อรายได้ เพื่อรักษาการจัดระดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating) ให้ดีขึ้น ช่วยลดภาระต้นทุนทางการเงิน 

 

นอกจากนี้ ได้ตั้งงบฯ ลงทุนใน 5 ปีประมาณ 76,000 ล้านบาท แบ่งเป็นลงทุนในธุรกิจน้ำมันทั้งในและต่างประเทศ ประมาณ 54,000 ล้านบาท เป็นการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน โดยอยู่ระหว่างศึกษาการสร้างท่อขนส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลว (แอลพีจี) จาก อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ไป จ.สระบุรี เพื่อลดต้นทุนค่าขนส่ง จากที่ใช้รถเทรลเลอร์ เรือ และรถไฟ ทำให้ในต่างจังหวัดราคาสูงกว่าส่วนกลาง เมื่อผลการศึกษาแล้วเสร็จจะเสนอกระทรวงพลังงาน เพื่อขออนุมัติต่อไป ตามแผนใช้เวลาก่อสร้าง 2 ปี จะแล้วเสร็จปี 2561 มูลค่าประมาณ 10,000 ล้านบาท โดย ปตท.จะลงทุนก่อนแล้วภาครัฐจะใช้คืนให้ภายหลัง แต่โครงการนี้ยังไม่ได้บรรจุไว้ในแผน 5 ปี และการลงทุนในธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่นประมาณ 21,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นการต่อยอดเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษ และพลาสติกชีวภาพ เพราะราคาปิโตรเคมีเกรดธรรมดาในปี 2557 ไม่ดีนัก เพราะทั่วโลกมีกำลังการผลิตสูงขึ้น จึงเป็นเทรนด์ที่จะมีการผลิตเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษมากขึ้น 

 

ขณะที่ปัจจุบัน ปตท.ได้ลงทุนขยายท่าเรือ และถังเก็บก๊าซแอลพีจีที่ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี เพื่อให้รองรับก๊าซแอลพีจีเพิ่มจาก 130,000 ตันต่อเดือน เป็น 400,000-500,000 ตันต่อเดือน มูลค่า 15,000 ล้านบาท โดยจะแล้วเสร็จในปลายปี 2558 คาดว่าช่วงดังกล่าวจะมีการนำเข้าก๊าซแอลพีจีเพิ่มเป็น 200,000-300,000 ตันต่อเดือน 

 

นอกจากนี้ ปตท.ได้ร่วมกับบริษัท ท่อส่งปิโตรเลียมไทย จำกัด (แทปไลน์) ที่ ปตท.ถือหุ้นอยู่ 36.44% ศึกษาโครงการสร้างท่อส่งน้ำมันจาก จ.สระบุรี ไปภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือ มูลค่าประมาณ 10,000 ล้านบาท ขณะนี้ศึกษาความคุ้มทุนเสร็จแล้ว เหลือเพียงการศึกษาเส้นทางวางท่อ คาดว่าจะเสร็จภายใน 1-2 เดือนข้างหน้า ทำให้ทราบต้นทุนของโครงการที่แท้จริง เพื่อนำมาตัดสินใจขั้นสุดท้าย โดยแทปไลน์คงเป็นผู้ลงทุนในโครงการอยู่ นอกจากนี้ กำลังศึกษาขนาดการลงทุนโรงงานผลิตน้ำมันดีเซลชีวภาพสังเคราะห์ (Biohydrogenated Diesel : BHD) แต่ต้องดูทิศทางการตลาดว่า ผู้บริโภคยอมรับหรือไม่ เพราะมีราคาแพงกว่าน้ำมันดีเซลจากปิโตรเลียม

 

สำหรับปี 2557 ปตท.จะเน้นลงทุนธุรกิจน้ำมันในประเทศเมียนมาร์เพิ่มขึ้น หลังจากปีนี้เปิดสถานีบริการน้ำมันที่เมืองเนย์ปิดอว์แล้ว โดยปีหน้าตัวแทนในเมียนมาร์จะเปิดสถานีบริการน้ำมันขนาดเล็กถึงขนาดกลางรวม 4 แห่งในเมืองย่างกุ้ง และจะขายน้ำมันเบนซิน 95 ซึ่งเป็นสินค้าเกรดพรีเมี่ยมเพื่อสร้างการจดจำในแบรนด์ รวมถึงลงทุนคลังน้ำมัน ท่าเรือ ธุรกิจน้ำมันเครื่อง มูลค่าการลงทุนมากกว่า 1,000 ล้านบาท พร้อมรอลุ้นผลการตัดสินว่า ปตท.จะได้เป็นผู้ปรับปรุงโรงกลั่นตันลินตามที่ยื่นข้อเสนอให้ทางรัฐบาลเมียนมาร์ไปหรือไม่ หาก ปตท.ได้รับคัดเลือกจะเป็นก้าวสำคัญในการเข้าไปทำตลาดน้ำมันในเมียนมาร์ โดยปัจจุบันเมียนมาร์มีความต้องการใช้น้ำมันอยู่ 40,000-50,000 บาร์เรลต่อวัน แต่เชื่อว่าในอีก 5 ปีข้างหน้าจะเติบโตเป็น 2 เท่า

 

ส่วนปี 2557 คาดว่าราคาน้ำมันโลกจะเคลื่อนไหวเฉลี่ยที่ 100 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และไม่ผันผวนมากนัก เพราะอเมริกาผลิตน้ำมันดิบหรือก๊าซธรรมชาติออกมาในตลาดโลกมากขึ้น