ENERGY

เอกชนเร่ขายโรงไฟฟ้าชีวมวล เหตุต้นทุนพุ่ง เดินเครื่องแบบขาดทุน
POSTED ON 18/09/2558


พลังงานอุตสาหกรรม - นสพ.ประชาชาติธุรกิจ รายงานข่าวเมื่อเร็วๆ นี้ ว่า นายนที สิทธิประศาสน์ รองประธานกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานทดแทน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ได้เปิดเผยถึงกลุ่มผู้ผลิตไฟฟ้าชีวมวลที่ขณะนี้กำลังประสบปัญหาอย่างหนัก โดยขณะนี้มีโรงไฟฟ้า SPP-VSPP ชีวมวลไม่ต่ำกว่า 10 แห่ง ต้องตัดปัญหาด้วยการประกาศขายโรงไฟฟ้าที่ราคา 500-1,000 ล้านบาทต่อโรง โดยส่วนใหญ่เป็นโรงไฟฟ้าที่เดินเครื่องผลิตไฟฟ้ามาแล้วประมาณ 10 ปี

 

ทั้งนี้ นายนทีได้ระบุถึงสาเหตุหลักของปัญหาที่เกิดขึ้นว่ามาจาก 3 ประเด็นใหญ่ๆ ได้แก่

 

1. วัตถุดิบมีราคาสูงขึ้น เช่น ราคาแกลบจากช่วงเริ่มต้นโครงการมีราคาที่ประมาณ 400 บาทต่อตัน ราคาขยับขึ้นมาตั้งแต่ระดับ 1,200 บาทต่อตัน จนถึง 2,000 บาทต่อตัน

 

2. แต่ละพื้นที่ไม่มีการกำหนดโซนนิ่ง ทำให้บางพื้นที่มีการขอสร้างโครงการเพิ่มเติมเข้ามามาก เมื่อมีการอนุมัติโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวลขนาดเล็กมาก หรือ VSPP เพิ่มเติม ทำให้ผู้ประกอบการแย่งวัตถุดิบ จนต้องสั่งซื้อจากพื้นที่อื่นเข้ามา รวมถึงกลุ่มโรงสีข้าวที่เคยขายแกลบให้ กลับมาลงทุนก่อสร้างทำโรงไฟฟ้าแทนเพราะมีวัตถุดิบของตัวเอง

 

3. การกำหนดสูตรราคารับซื้อที่ไม่ได้อิงตามต้นทุนจริง และโรงไฟฟ้าชีวมวลแต่ละประเภทมีต้นทุนที่แตกต่างกัน เช่น ในช่วงเริ่มต้นโครงการภาครัฐใช้สูตรอิงจากราคาน้ำมันเตา จากนั้นปรับสูตรใหม่เป็นอิงกับราคาก๊าซธรรมชาติ ถัดมาคืออิงกับราคาถ่านหิน ล่าสุดอิงกับราคาค่าไฟฟ้าที่จำหน่ายของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ซึ่งความเป็นจริงราคาแกลบ เศษไม้หรือทะลายปาล์มไม่สามารถอิงกับราคาเหล่านี้ได้

 

"ภาครัฐไม่ได้ดูความเหมาะสมของแต่ละพื้นที่ว่าควรมีโรงไฟฟ้าจำนวนเท่าไร ควรกำหนดให้โรงไฟฟ้าซื้อวัตถุดิบในระยะไม่เกิน 200 กิโลเมตร ไม่ดูดีมานด์-ซัพพลายในพื้นที่ อย่างแกลบที่ปัจจุบันมีอยู่ที่ 7 ล้านตันต่อปีเท่านั้น แต่ก็ยังมีการอนุมัติโครงการใหม่ๆ เข้ามาในพื้นที่มากขึ้น โดยเฉพาะพื้นที่ภาคกลางและอีสาน ตอนนี้หันมาสั่งซื้อทะลายปาล์มเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงแทนแกลบ และเมื่อหลายๆ โรงหันมาซื้อทะลายปาล์มมากขึ้น ราคาก็จะปรับเพิ่มขึ้น ปัญหาก็จะขยายวงไปสู่เชื้อเพลิงอื่น บางโรงตอนนี้หยุดเดินเครื่องก็มี ในบางรายก็ต้องเดินเครื่องแบบขาดทุน" นายนที กล่าว

 

เมื่อเร็วๆ นี้ได้มีการร้องเรียนไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องถึงระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจากชีวมวลในรูปแบบ Feed in Tariff หรือ FiT เฉพาะโครงการใหม่ โดยที่ประกาศดังกล่าวไม่ครอบคลุมโครงการเก่าที่มีการซื้อขายไฟฟ้ามาก่อนหน้านี้ โดยอัตราค่าไฟฟ้าชีวมวลแบบ FiT อยู่ที่ 4.54 บาทต่อหน่วย ในขณะที่รูปแบบเดิมที่ได้ส่วนเพิ่มค่าไฟฟ้า หรือ Adder อยู่ที่ 3.30-3.40 บาทต่อหน่วย เท่ากับว่ามีส่วนต่างราคาสูงถึง 1-1.40 บาทต่อหน่วย และในแง่ของการแข่งขันโรงไฟฟ้าชีวมวลที่ได้ค่าไฟแบบ FiT สามารถซื้อวัตถุดิบได้แพงถึง 500 บาทต่อตัน ในขณะที่แบบ Adder ซื้อได้ที่ระดับราคา 300-400 บาทต่อตันเท่านั้น

 

ส่วนการคิดสูตรราคารับซื้อไฟฟ้าจากชีวมวลตามราคาที่รับซื้อจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ (IPP) และโรงไฟฟ้าพลังความร้อน-ไอน้ำ (Cogeneration) ที่ค่าพลังงานไฟฟ้าครอบคลุมผลตอบแทนการลงทุนนั้น ราคาค่าไฟฟ้าควรปรับขึ้น-ลงตามต้นทุนเชื้อเพลิงคือก๊าซธรรมชาติ ซึ่งผู้ผลิตไฟฟ้าไม่จำเป็นต้องแบกรับภาระความเสี่ยงจากราคาเชื้อเพลิง

 

รายงานข่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับโครงสร้างของอัตรา FiT จะประกอบไปด้วย 3 ส่วน ได้แก่ (1) อัตรารับซื้อไฟฟ้าส่วนคงที่ (FiTF) ซึ่งจะคงที่ตลอดอายุโครงการ (2) อัตรารับซื้อไฟฟ้าส่วนแปรผัน (FiTV) จะปรับเพิ่มขึ้นตามค่าอัตราเงินเฟ้อขั้นพื้นฐาน (Core Inflation) เฉลี่ยของปีก่อนหน้า ตามประกาศของกระทรวงพาณิชย์ และ (3) อัตรารับซื้อไฟฟ้าพิเศษ (FiT Premium) กำลังผลิตน้อยกว่า 1 เมกะวัตต์ ที่ 3.13 -5 บาทต่อหน่วย กำลังผลิตมากกว่า 1-3 เมกะวัตต์ ที่ 2.61-4.82 บาทต่อหน่วย และมากกว่า 3 เมกะวัตต์ อยู่ที่ 2.39-4.24 บาทต่อหน่วย

 

Tags : อุตสาหกรรม, ข่าวอุตสาหกรรม, สื่ออุตสาหกรรม, โรงงาน, เครื่องจักรกล, การผลิต, พลังงาน, โลจิสติกส์, Industry, Industrial, Industrial News, Industrial Media, Factory, Machinery, Machine, Manufacturing, Energy, Logistics