ENERGY

EGCO ตั้งราคาโรงไฟฟ้าระยองพันล้านบาท จ่อขายให้อิตาเลียนไทย
POSTED ON 10/09/2557


พลังงานอุตสาหกรรม - นายสหัส ประทักษ์นุกูล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด(มหาชน) หรือ เอ็กโก กรุ๊ป เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทฯ ได้เตรียมมองหาแนวบริหารสินทรัพย์ของโรงไฟฟ้าระยอง ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง ขนาดกำลังผลิต 1.2 พันเมกะวัตต์ ที่จะหมดอายุลงในวันที่ 7 ธันวาคม 2557 เนื่องจากไม่ได้รับการต่ออายุสัญญาซื้อขายไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เพราะเดินเครื่องมา 20 ปีแล้ว โดยเบื้องต้นอาจขายให้กับพันธมิตร เพื่อนำโรงไฟฟ้าเก่าไปติดตั้งในประเทศเพื่อนบ้านแทน

 

ส่วนกรณีที่คาดว่าทางคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) อาจพิจารณาให้ยืดระยะเวลาไปอีก 1 ปี เพื่อรองรับกรณีท่อส่งก๊าซธรรมชาติเส้นที่ 4 ของ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ไม่เสร็จตามแผนนั้น การตัดสินใจขึ้นอยู่กับทาง กกพ. ซึ่งจะมีความชัดเจนภายในเดือนตุลาคมนี้

 

ดร.สกุล พจนารถ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานกลยุทธ์และบริหารสินทรัพย์ เอ็กโก กรุ๊ป กล่าวเสริมว่า ขณะนี้มีพันธมิตรหลายรายมีทั้งญี่ปุ่นและไทยสนใจซื้อโรงไฟฟ้าระยองจากเอ็กโก แม้ว่าจะมีอายุการใช้งานมาแล้ว 20 ปี แต่ก็ยังมีประสิทธิภาพในการผลิตไฟฟ้า เบื้องต้นได้หารือกับทาง บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) เพื่อนำโรงไฟฟ้าระยองไปตั้งในเมียนมาร์สำหรับใช้ในนิคมอุตสาหกรรม อาทิ ในพื้นที่ทวายหรือเมืองย่างกุ้ง เป็นต้น ที่สามารถผลิตไฟฟ้าได้ 1,200 เมกะวัตต์ โดยในระยะแรกอาจจะเดินเครื่องไม่เต็มกำลังการผลิต แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับความต้องการใช้ไฟฟ้าในเมียนมาร์ด้วย

 

ทั้งนี้ หากเอ็กโกตัดสินใจขายคาดว่าจะมีราคาอยู่ที่ประมาณ 1,000 ล้านบาท ขณะที่พื้นที่ตั้งของโรงไฟฟ้าระยองคงต้องรอความชัดเจนจากทางกระทรวงพลังงานอีกครั้งว่าจะมีนโยบายการก่อสร้างโรงไฟฟ้าใหม่อย่างไร หรือแม้กระทั่งการเปิดประมูลโรงไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ (ไอพีพี) ซึ่งเบื้องต้นได้หารือกับกลุ่มอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ อาทิ กลุ่มเอสซีจี ซึ่งมีโรงงานในพื้นที่ใกล้เคียงเพื่อพัฒนาเป็นนิคมอุตสาหกรรม โดยเอ็กโกมีพื้นที่กว่า 600 ไร่สามารถสร้างโรงไฟฟ้าเอกชนรายเล็ก (เอสพีพี) ขนาด 300-600 เมกะวัตต์ เพื่อป้อนไฟฟ้าและขายไอนํ้าให้กับนิคมดังกล่าวได้

 

ส่วนกรณีที่ทาง กกพ. อาจต้องการให้โรงไฟฟ้าระยองต่ออายุไปอีก 1 ปี เพื่อผลิตไฟฟ้าทดแทนหลังจากท่อก๊าซเส้นที่ 4 ไม่เสร็จตามแผน ยอมรับว่าจะต้องดูถึงความคุ้มทุนก่อน หาก กกพ.ให้ราคารับซื้อค่าไฟในระดับตํ่าจนเกินไปหรือมีรายได้ประมาณ 300 ล้านบาทต่อปี แต่เมื่อต้องหักค่าซ่อมบำรุงเครื่องอีก 150-200 ล้านบาท ก็อาจไม่คุ้มทุน

 

โดยการดำเนินงานของเอ็กโกหลังจากนี้ไป ได้ตั้งเป้าเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าเป็น 5,000 เมกะวัตต์ ภายในปี 2562 จากปัจจุบันมีกำลังการผลิตรวมทั้งสิ้น 4,700 เมกะวัตต์ โดยจะเป็นโครงการใหม่เข้ามาประมาณ 300 เมกะวัตต์ เนื่องจากขณะนี้มีโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง 8 โครงการ รวมกำลังผลิตประมาณ 1,610 เมกะวัตต์ ที่จะทยอยเข้าระบบ

 

สำหรับโครงการใหม่ที่จะเข้ามาส่วนหนึ่งอาจจะมาจากการขยายการลงทุน ในธุรกิจพลังงานทดแทนเพิ่มมากขึ้น โดยในปีนี้มีกำลังการผลิตจากพลังงานทดแทนแล้ว อาทิ พลังงานลมโรงไฟฟ้าโซลาร์เซลล์ โรงไฟฟ้าขยะ และโรงไฟฟ้าชีวมวล กำลังการผลิตรวม 200 เมกะวัตต์ และตั้งเป้าเพิ่มเป็น 300 เมกะวัตต์ภายในปีหน้า

 

ขณะที่ในส่วนของการลงทุนพลังงานทดแทนในต่างประเทศก็มีโรงไฟฟ้าพลังงานลมที่ออสเตรเลีย 113 เมกะวัตต์ และอยู่ระหว่างเจรจากับพันธมิตรอื่นๆ อีก คาดว่าจะไม่ตํ่ากว่า 200 เมกะวัตต์ภายในปีหน้าเช่นกัน ดังนั้น ทำให้ภาพรวมการลงทุนด้านพลังงานทดแทนของเอ็กโกเป็นไม่ตํ่ากว่า 500 เมกะวัตต์ภายในปีหน้า โดยในช่วงปีนี้และปีหน้าจะใช้เงินลงทุนพลังงานทดแทนกว่า 1.4 หมื่นล้านบาท

 

ดังนั้น ในภาพรวมปีนี้บริษัทฯ ตั้งงบลงทุนไว้ที่ 1.53 หมื่นล้านบาท โดยช่วง 6 เดือนแรกปีนี้ ใช้เงินลงทุนไปแล้ว 9.55 พันล้านบาท เป็นการลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังงานลมโบโคร็อค และโรงไฟฟ้าขนอม ส่วนเงินลงทุนที่เหลืออยู่จะใช้ในโครงการโรงไฟฟ้าเอสพีพี โรงไฟฟ้าไซยะบุรี และอื่นๆ ตามแผนงานที่วางไว้โดยไม่ได้รวมการลงทุนโรงไฟฟ้าใหม่ที่จะเกิดขึ้น ในอนาคต