ECONOMICS

ดีลอยด์ ชี้ นักลงทุนญี่ปุ่นกังวลสถานการณ์การเมือง แต่ยังสนลงทุนไทยต่อ
POSTED ON 28/01/2557


เศรษฐกิจอุตสาหกรรม - นายสุภศักดิ์ กฤษณามระ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดีลอยท์ ทู้ช โธมัทสุ ไชยยศ จำกัด (ดีลอยท์ ประเทศไทย) กล่าวว่า จากการเดินทางพบปะนักลงทุนชาวญี่ปุ่นในสองกลุ่มอุตสาหกรรมสำคัญ คือ กลุ่มอุตสาหกรรมการเงิน และกลุ่มอุตสาหกรรมการผลิต พบว่านักลงทุนญี่ปุ่นมองว่าประเทศไทย ยังเป็นประเทศที่น่าสนใจลงทุนเนื่องจากมีปัจจัยเกื้อหนุนหลายด้าน อีกทั้งญี่ปุ่นมีการลงทุนในประเทศไทยมายาวนาน มีการสร้างฐานลูกค้าขนาดใหญ่และขยายกำลังการผลิต โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน ได้กำหนดให้ไทยเป็นจุดยุทธศาสตร์ในภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ในขณะเดียวกันก็ยอมรับว่า สถานการณ์การเมืองของไทยที่ยังคงหาข้อสรุปไม่ได้และมีแนวโน้มยืดเยื้อในขณะนี้ เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ฉุดความเชื่อมั่นในการเข้ามาลงทุนเพิ่มของนักลงทุนญี่ปุ่น

 

"นักลงทุนญี่ปุ่นส่วนใหญ่ยอมรับว่ามีความกังวลเกี่ยวกับปัญหาด้านเสถียรภาพของรัฐบาล และสถานการณ์ความไม่สงบทางการเมืองไทยที่มีแนวโน้มยืดเยื้อบานปลาย ซึ่งเราก็ได้มีการประเมินสถานการณ์ตามความเหมาะสม และแจ้งลูกค้าถึงผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยเป็นระยะๆ" นายสุภศักดิ์ กล่าว

 

ทั้งนี้ สำหรับภาคการเงิน นอกจากนักลงทุนจะกังวลในเรื่องสถานการณ์ความไม่สงบทางการเมืองแล้ว ยังมีความเป็นห่วงเรื่องการเพิ่มขึ้นของหนี้เสียในประเทศจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ผลกระทบในเชิงลบจากนโยบายค่าแรงขั้นต่ำ และโครงสร้างผู้บริหาร กระบวนการทางราชการ รวมถึงบทบาทของคณะ กรรมการตรวจสอบ ในขณะที่จุดแข็งของภาคการเงินไทย คือ การบริหารความเสี่ยงและการควบคุมหนี้เสียได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยธนาคารแห่งประเทศไทย นอกจากนี้ นักลงทุนมองว่าขนาดและมูลค่าของตลาดการเงินไทยมีความน่าสนใจ และเห็นโอกาสการลงทุนในตลาดการเงินและการเจริญเติบโตของตลาดนี้ในอนาคต

 

สำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน นักลงทุนญี่ปุ่นมีการขยายกำลังการผลิตในไทยมาโดยตลอด โดยมองว่าจุดแข็งของไทยคือกำลังซื้อภายในประเทศที่แข็งแกร่ง และการเป็นศูนย์กลางการผลิตและส่งออกยานยนต์และชิ้นส่วนที่มีศักยภาพในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ส่วนจุดอ่อนที่สำคัญยังคงเป็นเรื่องความไม่มั่นคงทางการเมือง การบริหารสินค้าคงคลัง การตรวจสอบภายใน และปัญหาการทุจริตฉ้อฉล

 

ทั้งนี้ นอกจากสองภาคอุตสาหกรรมหลักที่ได้กล่าวไปแล้ว จากการพูดคุย พบว่ามีอีกหลายภาคธุรกิจที่สนใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทย เช่น ธุรกิจค้าปลีก, การเงิน, อิเล็กทรอนิกส์ คอมเมิร์ซ, พลังงาน รวมถึงภาคการบริการอื่น อย่างไรก็ตาม จุดอ่อน จุดแข็งต่างๆ รวมถึงสถานการณ์ปัจจุบันของไทย ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนนำมาพิจารณา

 

สำหรับการเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ เออีซี นั้น นายสุภศักดิ์กล่าวว่า นักลงทุนญี่ปุ่นมีความตื่นตัวและเตรียมพร้อมในการทำธุรกิจเป็นอย่างมาก โดยในฐานะที่ปรึกษาทางธุรกิจ ดีลอยท์ได้มีการอัพเดทสถานการณ์ทางเศรษฐกิจทั้งในประเทศไทยและประเทศสมาชิก AEC และกฎหมายที่สำคัญให้กับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง รวมถึงข้อมูลความเสี่ยงในด้านต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นและหนทางการแก้ปัญหา

 

นอกจากนี้ ดีลอยท์ยังมีหน่วยงาน Japanese Service Group (JSG) ที่มีผู้บริหารและทีมงานเป็นชาวญี่ปุ่น เพื่อสร้างการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพและความมั่นใจให้กับลูกค้าญี่ปุ่นโดยเฉพาะ มีการทำงานที่ร่วมมือกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) มุ่งเป้าไปที่ลูกค้าญี่ปุ่นของบริษัทและกลุ่มลูกค้าธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ซึ่งมีความเหมาะสมในการได้รับสิทธิประโยชน์ต่างๆ จาก BOI เช่น Regional Operating Headquarter (ROH) และเพื่อเพิ่มโอกาสการลงทุนของนักลงทุนญี่ปุ่นในอนาคต