ECONOMICS

วิกฤติการเมือง ทำลูกค้านิคมฯ หดกว่า 20%
POSTED ON 24/01/2557


เศรษฐกิจอุตสาหกรรม - นายวีรพันธ์ พูลเกษ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่น หรือ TICON เปิดเผยว่า สถานการณ์ทางการเมืองที่ยืดเยื้อขณะนี้ ส่งผลให้ลูกค้าต่างประเทศชะลอแผนการซื้อที่ดิน และแผนลงทุนสร้างโรงงานในประเทศไทยประมาณ 20% โดยเฉพาะลูกค้าใหม่ที่ไม่เคยดำเนินธุรกิจในประเทศไทยมาก่อน เนื่องจากบริษัทแม่ในต่างประเทศยังไม่ไว้ใจในสถานการณ์การเมืองของประเทศไทย เช่นเดียวกันกับประเทศทางยุโรปที่ชะลอการลงทุนในประเทศไทย เพราะต้องการดูสถานการณ์ทางการเมือง โดยเชื่อมั่นความมั่นใจการลงทุนในไทยของนักลงทุนต่างชาติยังไม่ลดลง โดยเฉพาะในกลุ่มที่เคยทำธุรกิจในไทยมาก่อน

 

นายวีรพันธ์ กล่าวด้วยว่า "จากที่เพิ่งไปโรดโชว์ที่ญี่ปุ่นมา เขายังสนใจลงทุนสร้างโรงงานในไทยอยู่ เพราะเขามองว่าการลงทุนทำธุรกิจในไทยจะได้ลูกค้าจากประเทศรายล้อมประเทศไทยไปด้วย ซึ่งเป็นการเติบโตของดีมานด์ที่ดีกว่าในญี่ปุ่นเองที่ประชากรจะเริ่มลดลง แต่ตอนนี้ลูกค้าใหม่ ทั้งญี่ปุ่นและยุโรปชะลอไปประมาณ 20% เป็นเพราะการเมืองยังไม่สงบ แต่ส่วนตัวมองว่าภายในครึ่งปีหลังการเมืองน่าจะสงบลงได้ และน่าจะตั้งรัฐบาลได้แล้ว"

 

ปีนี้ไทคอนวางเป้ารายได้รวมเติบโตที่ 20% ซึ่งอาจจะเป็นการเติบโตที่ต่ำกว่าอัตราการเติบโตปีที่แล้ว เพราะปีที่แล้วเป็นปีที่มีรายได้จากการขายสินทรัพย์เข้ากองทุนค่อนข้างมาก ทั้งนี้ การเติบโตของรายได้ปีนี้มาจากการปรับขึ้นอัตราค่าเช่าประมาณ 10% และการขายสินทรัพย์เข้ากองทุนมูลค่า 500 ล้านบาท และการเพิ่มทุนของกองทุนอีก 6,000 ล้นบาท

 

ด้านงบลงทุนปีนี้ บริษัทฯ จัดสรรงบลงทุนไว้ 8,000 ล้านบาท โดย 6,000 ล้านบาท จะมาจากเงินที่ได้จากการขายสินทรัพย์เข้ากองทุน และส่วนที่เหลืออีก 2,000 ล้านบาท บริษัทฯ จะใช้การกู้จากสถาบันการเงิน งบลงทุนดังกล่าวจะใช้ในการขยายโรงงานสำเร็จรูปให้เช่าและอาคารคลังสินค้าอีกกว่า 1.2-1.3 แสนตารางเมตร และสร้างคลังสินค้าให้เช่าอีก 2.5-3 แสนตารางเมตร เพื่อรองรับความต้องการลูกค้า

 

ด้าน นายเดวิด นาร์โดน กรรมการผู้จัดการ บริษัท เหมราชพัฒนาที่ดิน หรือ HEMRAJ กล่าวว่า ปัญหาความไม่สงบทางการเมืองส่งผลให้มีการชะลอการตัดสินใจซื้อที่ดินสำหรับลูกค้าใหม่ราว 10-20% โดยยังเชื่อมั่น แม้การเมืองจะยืดเยื้อออกไปอีก จะไม่ส่งผลให้ตัวเลขของการชะลอการตัดสินใจของกลุ่มลูกค้าใหม่มากกว่านี้ เพราะแผนการลงทุนของบริษัทต่างๆ ถูกวางไว้ล่วงหน้าแล้ว โดยเฉพาะผู้ผลิตรถยนต์เพื่อการส่งออก ซึ่งไม่ได้พึ่งพิงกับเศรษฐกิจภายในประเทศเพียงอย่างเดียว ทำให้เม็ดเงินการลงทุนยังอยู่ แต่อาจจะตัดสินใจช้าลงเท่านั้น

 

ขณะที่ฐานลูกค้าเดิมของบริษัทฯ ยังคงขยายการลงทุนต่อเนื่อง เพราะทิศทางการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศไทยยังมีทิศทางที่ดี รวมถึงยังมีโครงการในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะการขนส่งที่รองรับอยู่ในอนาคต

 

บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้รวมปีนี้โตเพียงเลขหลักเดียว ชะลอตัวลงจากปีก่อน เพราะปีนี้ไม่มีรายได้พิเศษที่มาจากการขายสินทรัพย์เข้ากองทุน รวมถึงเป้ายอดขายที่ดินในปีนี้ของบริษัทอยู่ที่ 1,600 ไร่ ซึ่งต่ำกว่าปีก่อนที่อยู่ที่ 2,200-2,300 ไร่ ในส่วนของเป้ายอดขายที่ดินเป็นการตั้งเป้าอย่างระมัดระวัง ซึ่งมีโอกาสที่บริษัทจะปรับเพิ่มเป้าในภายหลังได้

 

"ปีที่แล้วรายได้ของเราสูง เพราะมีรายได้พิเศษจาก Property Fund ด้วย ส่วนเป้ายอดขายที่ดินในปีนี้เราตั้งแบบ Conservative เหมือนกับหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งก็มีโอกาสถูกปรับเพิ่มขึ้นได้ในภายหลัง" นายเดวิด กล่าว

 

นายเดวิด กล่าวอีกว่า บริษัทฯ เตรียมเปิดตัวนิคมอุตสาหกรรมใหม่เป็นแห่งที่ 8 ในช่วงปลายปีนี้ ซึ่งอยู่ใกล้เคียงกับนิคมอุตสาหกรรมอีสเทิร์น ซีบอร์ด ครอบคลุมพื้นที่ 3,200 ไร่ โดยส่วนใหญ่ฐานลูกค้าเป็นกลุ่มผู้ผลิตยานยนต์ประมาณ 40% ซึ่งเป็นฐานลูกค้าเดิมของบริษัทที่มีการขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น ซึ่งคาดว่าจะเปิดขายที่ดินได้ช่วงปลายปีนี้