ECONOMICS

กลุ่มเจมาร์ทเร่งเกม Synergy ติดปีกธุรกิจในเครือปี 63
POSTED ON 09/03/2563


 

 

JMART มั่นใจปี 2563 เติบโตต่อเนื่อง ตั้งเป้ากำไรทำสถิติสูงสุด หรือเติบโตจากปีก่อนร้อยละ 25 จากบริษัทในเครือเดินเกมรุก นำโดยธุรกิจบริหารหนี้ของ JMT เป็นฐานกำไรที่สำคัญ ในขณะที่ Jaymart Mobile เดินหน้าขยายสินค้ากลุ่มมาร์จิ้นสูง เพื่อรองรับโอกาสจาก 5G, J Fintech ตั้งเป้าปล่อยสินเชื่อมีคุณภาพ เน้น NPL อยู่ในระดับต่ำ นอกจากนี้ธุรกิจอสังหาฯ ของ J ประสบความสำเร็จในโครงการคอนโดมีเนียม นีเวร่า รวมถึง เตรียมเปิดศูนย์การค้าชุมชนแห่งใหม่ที่อมตะนคร Q2 ปีนี้อีกด้วย ในส่วนของ SINGER รุกธุรกิจการปล่อยสินเชื่อรถทำเงิน และขยายแฟรนไชส์ลงลึกให้ถึงทุกตำบล สนับสนุนด้วย JVC บุ๊ครายได้จากการพัฒนาระบบ DDLP แล้วเสร็จ แถมอยู่ระหว่างการปรับแพลตฟอร์มธุรกิจของเจมาร์ท Digitalization เสริมแผน Synergy ของบริษัทในเครือ

นายอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ JMART เปิดเผยว่า ภาพรวมแผนการ Synergy ของกลุ่มบริษัทเริ่มเห็นภาพชัดเจน และในปี 2562 ที่ผ่านมาประสบความสำเร็จ บริษัทในเครือแต่ละสายธุรกิจหลัก มีผลประกอบการเป็นกำไร ในปี 2563 ตั้งเป้ากำไรเติบโตต่อเนื่องร้อยละ 25 จากปีก่อน โดยมีบริษัท เจเอ็มที ที่ยังคงเป็นฐานกำไรที่โดดเด่นต่อเนื่อง จากโอกาส และการขยายพอร์ตธุรกิจบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพทั้งที่มีหลักประกันและไม่มีหลักประกัน ประกอบกับ การพลิกฟื้นของผลประกอบการของบริษัทในเครือ สนับสนุน JMART มีผลการดำเนินงานประจำปี 2562 พลิกกลับมาทำกำไรสุทธิ 534 ล้านบาท บันทึกสถิติสูงสุดนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทฯ โดยเพิ่มขึ้นจากปี 2561 ที่มีผลขาดทุน (277.1) ล้านบาท คิดเป็นการเติบโตร้อยละ 292.6 ส่วนรายได้รวมอยู่ที่ 11,334.8 ล้านบาท ลดลงราวร้อยละ 9.8

ทั้งนี้ JMART ในฐานะโฮลดิ้ง คอมพานี ที่ลงทุนในธุรกิจค้าปลีกและธุรกิจการเงิน มีโครงสร้างกลุ่มธุรกิจ ดังนี้ บริษัท เจมาร์ท โมบาย จำกัด ถือหุ้นสัดส่วนร้อยละ 99.9 บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) ถือหุ้นสัดส่วนร้อยละ 52.6 บริษัท เจเอเอส แอสเซ็ท จำกัด (มหาชน) ถือหุ้นสัดส่วนร้อยละ 74.9 บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) ถือหุ้นสัดส่วนร้อยละ 30.3 บริษัท เจ ฟินเทค จำกัด ถือหุ้นสัดส่วนร้อยละ 95.6 บริษัทเจ เวนเจอร์ส จำกัด ถือหุ้นสัดส่วนร้อยละ 80 และ บริษัท บีนส์แอนด์บราวน์ จำกัด ถือหุ้นสัดส่วนร้อยละ 70

นายนราธิป วิรุฬห์ชาตะพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจมาร์ท โมบาย จำกัด หรือ Jaymart Mobile ผู้ประกอบธุรกิจจัดจำหน่ายมือถือและอุปกรณ์เสริม ในฐานะบริษัทแกน เปิดเผยถึง ผลประกอบการในปี 2562 มียอดขาย 7,441 ล้านบาท กำไรสุทธิ 91 ล้านบาท เป้าหมายการเติบโตในปีนี้ มุ่งเน้นการบริหารจัดการภายในที่ดีอย่างต่อนื่อง ปักธงบุกสินค้านวัตกรรมและเทคโนโลยี รับโอกาสจาก 5G ตอบสนองไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคยุคใหม่ อีกทั้งปรับกลยุทธ์เพื่อมุ่งสู่การเป็น Gadget Destination โดยการนำสินค้ากลุ่มแกดเจ็ตที่มีแนวโน้มการเติบโตสูง และอัตรากำไรที่ดี มาขยายผ่านสาขา Jaymart และ Jaymart ioT ซึ่งปัจจุบัน ณ สิ้นปี 2562 มีสาขาภายใต้การบริหารของบริษัทรวมกันที่ 192 สาขา ตั้งเป้าเปิดสาขาใหม่ภายในปีนี้ 15 สาขา รวมทั้ง การปรับโฉมใหม่สาขาเดิม 40 สาขา ควบคู่ไปกับการปรับเปลี่ยนสัดส่วนสินค้าในร้านเจมาร์ท ซึ่งมีสมาร์ทโฟนครบทุกแบรนด์ชั้นนำ ทำให้มีสินค้านวัตกรรมมากขึ้น อีกทั้ง ความสำเร็จในการเป็นพันธมิตรทางการค้ากับ AIS จัดจำหน่ายแพ็คเกจซิมควบคู่กับโทรศัพท์เคลื่อนที่ เพิ่มความสามารถการแข่งขันทางการตลาด

นายกิติพัฒน์ ชลวุฒิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ ฟินเทค จำกัด หรือ J Fintech บริษัทย่อยที่ดำเนินธุรกิจทางด้านการปล่อยสินเชื่อส่วนบุคคล ภายใต้แบรนด์ “J Money” เปิดเผยถึง ผลประกอบการปี 2562 สามารถพลิกผลประกอบการให้มีกำไรสุทธิได้ที่ 67 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2562 มีมูลค่าของพอร์ตสินเชื่ออยู่ที 3,630 ล้านบาท มีอัตราการจัดเก็บหนี้ในชั้นปกติได้สูง อัตราเฉลี่ยร้อยละ 97 มีการจัดเก็บหนี้ที่ได้มีการตัดหนี้สูญกลับคืนเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ขณะที่ภาพรวม NPL Ratio อยู่ต่ำเพียงร้อยละ 5.02 ในปี 2563 เจ ฟินเทค ตั้งเป้าจะขยายพอร์ตสินเชื่อต่อเนื่อง โดยจะควบคุมคุณภาพการปล่อยสินเชื่ออย่างเข้มข้น จากการขยายผ่านช่องทางทั้งออฟไลน์และออนไลน์ ควบคู่การบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ

นายสุทธิรักษ์ ตรัยชิรอาภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMTเปิดเผยถึง แนวโน้มผลประกอบการปี 2563 ตั้งเป้าทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง ตอกย้ำการเป็นเบอร์หนึ่งภาคเอกชนในธุรกิจบริหารหนี้ด้อยคุณภาพรายใหญ่ของประเทศไทย จากปี 2562 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 681.3 ล้านบาท เติบโตจากปี 2561 ร้อยละ 34.8 ซึ่งเป็นยอดกำไรสุทธิสูงที่สุดของบริษัทตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทเป็นปีที่ 3 และมีรายได้รวมอยู่ที่ 2,524.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 35.1 สำหรับโอกาสในปีนี้ คาดสถานการณ์การซื้อหนี้เข้ามาบริหารได้ไม่ต่ำกว่าปีที่แล้ว จึงวางงบลงทุนไว้ที่ 4,500 ล้านบาท หลังจากปีที่ผ่านมาซื้อหนี้ไปกว่า 3,300 ล้านบาท เตรียมเปิดเจรจาซื้อหนี้ทั้งที่มีหลักประกันและไม่มีหลักประกัน โดยหากมีความต้องการในการขายหนี้ออกมาเพิ่มขึ้น บริษัทฯ ก็เตรียมวงเงินในการลงทุนไว้ถึง 6,000 ล้านบาท เพื่อพร้อมรับโอกาสในการเติบโต จาก ณ สิ้นปี 2562 บริษัทฯ มีพอร์ตบริหารหนี้รวมมากกว่า 174,000 ล้านบาท