ECONOMICS

บอร์ด BOI ไฟเขียว 3 มาตรการกระตุ้นการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ SMEและเศรษฐกิจฐานราก
POSTED ON 06/02/2563


 

 

น.ส.ดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บอร์ดบีโอไอ) ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เห็นชอบมาตรการพิเศษ 3 มาตรการเพื่อเร่งรัดการลงทุนโครงการลงทุนขนาดใหญ่ ส่งเสริมการลงทุนของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดเล็กให้เข้าถึงสิทธิประโยชน์ของบีโอไอได้ง่ายขึ้น

ขณะเดียวกันได้ปรับปรุงมาตรการสนับสนุนเศรษฐกิจฐานรากเพื่อจูงใจให้ผู้ประกอบการที่มีศักยภาพสูงกว่าเข้าไปสนับสนุนกิจการขององค์กรในท้องถิ่นให้มากขึ้น

สำหรับมาตรการกระตุ้นการลงทุน ประกอบด้วย 1.มาตรการกระตุ้นการลงทุนสำหรับโครงการขนาดใหญ่ในอุตสาหกรรมและบริการ เป้าหมายที่มีผลกระทบสูงต่อเศรษฐกิจของประเทศ (กิจการกลุ่ม A1 A2 และ 3 ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 5-8 ปี แต่ไม่รวมกิจการที่ไม่มีที่ตั้งสถานประกอบการ ช่น กิจการขนส่งทางอากาศ กิจการขนส่งทางเรือ เป็นต้น) ซึ่งผู้ลงทุนสามารถลงทุนได้ทุกพื้นที่ โดยจะได้รับสิทธิประโยชน์ลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคล 50% เพิ่มเติมเป็นระยะเวลา 5 ปี หากมีการลงทุนจริง (ไม่รวมค่าที่ดินและทุนหมุนเวียน) ไม่น้อยกว่า 500 ล้านบาท ภายในปี 2563 หรือไม่น้อยกว่า 1,00 ล้านบาท ภายในปี 2564

มาตรการนี้มีผลบังคับใช้สำหรับคำขอรับการส่งเสริมที่ยื่นตั้งแต่ 2 ม.ค.62-30 ธ.ค.63 หากดำเนินการกระตุ้นการลงทุนตามมาตรการนี้แล้วคาดว่าจะสามารถช่วยกระตุ้นการลงทุนได้มากกว่า 200,000 ล้านบาท ในระยะปี 2563-2564

2.มาตรการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ซึ่งปัจจุบันมีหลายหน่วยงานที่ให้การสนับสนุนและส่งเสริม ทั้งในด้านการเงินและสินเชื่อด้านการพัฒนาบุคลากรและองค์ความรู้ รวมถึงด้านการตลาดและการอำนวยความสะดวกต่างๆ โดยในช่วงปลายปี 2562 ถึงต้นปี 2563 รัฐบาลก็ได้เห็นชอบมาตรการการเงินและมาตรการสนับสนุนอื่นๆเพิ่มเติม ในส่วนมาตรการของบีโอไอนั้นเป็นการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี ซึ่งจะช่วยเสริมมาตรการสนับสนุนของหน่วยงานอื่นๆ ซึ่งในที่ประชุมครั้งนี้ บอร์ดบีโอไอเห็นชอบให้มีการปรับปรุงมาตรการส่งเสริม SMEs เพื่อให้ผู้ประกอบการที่มีศักยภาพสามารถเข้าถึงการใช้สิทธิประโยชน์ของบีโอไอได้ง่ายขึ้น โดยกำหนดคำจำกัดความของ SMEs ใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับคำจำกัดความของ SMEs ของ สสว.ที่มีการปรับปรุงเมื่อต้นปี 2563 ที่ผ่านมา คือ เป็นกิจการที่ต้องถือหุ้นโดยบุคคลธรรมดาสัญชาติไทยไม่น้อยกว่า 51% และจะต้องมีรายได้ของกิจการทั้งที่ได้รับการส่งเสริมและไม่ได้รับการส่งเสริมไม่เกิน 500 ล้านบาทต่อปี ใน 3 ปีแรก

กรณีตั้งกิจการในนิคมหรือเขตอุตสาหกรรมจะได้รับสิทธิประโยชน์การยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคลเพิ่มเติมอีก 1 ปี ขณะที่หากตั้งในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจชายแดนจะได้รับสิทธิประโยชน์การยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลตามมาตรการส่งเสริมการลงทุนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ โดยได้รับวงเงินยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลในสัดส่วน 200% ของเงินลงทุน (ไม่รวมค่าที่ดินและทุนหมุนเวียน) ด้วย ทั้งนี้ต้องยื่นคำขอรับส่งเสริมตั้งแต่วันที่ 2 มี.ค.63 ถึงวันทำการสุดท้ายของปี 2564

3.การปรับปรุงมาตรการส่งเสริมการลงทุนเศรษฐกิจฐานราก เพื่อสนับสนุนให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับเศรษฐกิจในระดับฐานรากมากยิ่งขึ้น บอร์ดบีโอไอจึงเห็นชอบให้มีการปรับปรุงมาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจฐานรากที่บีโอไอเปิดให้การส่งเสริมมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2559 โดยการปรับปรุงมาตรการในครั้งนี้ จะเป็นการขยายระยะเวลาการยื่นขอรับการส่งเสริมออกไปอีก 1 ปี จนถึงวันที่ 30 ธ.ค.64 และขยายขอบข่ายคุณสมบัติของผู้ขอรับการส่งเสริมให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น โดยให้รวมถึงผู้ประกอบการที่มีกิจการที่ดำเนินกิจการอยู่เดิมแต่ยังไม่เคยได้รับการส่งเสริมมาก่อนด้วย ทั้งนี้กิจการที่ดำเนินการอยู่เดิมจะต้องเป็นประเภทกิจการที่บีโอไอให้ส่งเสริมในปัจจุบันด้วย

นอกจากนี้ ยังเปิดโอกาสให้โครงการที่ยังมีสิทธิประโยชน์การยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเหลืออยู่ หรือโครงการลงทุนใหม่ที่จะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล สามารถขอรับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมตามมาตรการนี้ได้ หากมีการลงทุนหรือมีค่าใช้จ่ายในการสนับสนุนเศรษฐกิจฐานราก โดยจะได้รับวงเงินยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มเติมในสัดส่วน 120% ของเงินสนับสนุน และเพื่อเป็นการกระตุ้นให้ผู้ประกอบการมีแรงจูงใจเพิ่มมากขึ้น บอร์ดบีโอไอยังได้เปิดโอกาสให้โครงการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนตามมาตรการเศรษฐกิจฐานรากสามารถขอรับสิทธิประโยชน์ตามมาตรการอื่นได้ด้วย