ECONOMICS

แจ๊ค หม่า พบนายกฯ พร้อมลุยลงทุน 1.1 หมื่นล้านบาทในอีอีซี
POSTED ON 19/04/2561


Tags : อุตสาหกรรม, ข่าวอุตสาหกรรม, สื่ออุตสาหกรรม, โรงงาน, เครื่องจักรกล, การผลิต, พลังงาน, โลจิสติกส์, Industry, Industrial, Industrial News, Industrial Media, Factory, Machinery, Machine, Manufacturing, Energy, Logistics

 

 

วันนี้ (19 เม.ย.2561) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ให้การต้อนรับ นายแจ๊ค หม่า (Jack Ma) ประธานกรรมการบริหารของกลุ่มอาลีบาบา (Alibaba) และคณะผู้บริหารของบริษัทฯ ณ ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล โดยนายหม่าจะร่วมในพิธีลงนามความร่วมมือบันทึกความเข้าใจ 4 ฉบับ ระหว่างหน่วยงานภาครัฐของไทยกับอาลีบาบาในด้านความร่วมมือและส่งเสริมการลงทุนเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมดิจิทัลและส่งเสริมบุคลากรไทยในการพัฒนาทักษะและขีดความสามารถด้านดิจิทัลอีคอมเมิร์ซ ในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC

 

ด้าน นายอุตตม สาวนายน รมว.อุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ สำนักงานเพื่อการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) กรมศุลกากร กระทรวงการคลัง การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ไปรษณีย์ไทย (Thai Post) และหน่วยงานอื่น ได้ร่วมหารือกับทีมงานของอาลีบาบามาอย่างต่อเนื่องนับแต่ที่นายหม่ามาเยือนประเทศไทยเมื่อปี 2559 และขณะนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ข้อสรุปความร่วมมือในโครงการหลักที่จะช่วยขับเคลื่อนอุตสาหกรรมดิจิทัลและการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อสนับสนุนยุทธศาสตร์ประเทศไทย 4.0 ดังต่อไปนี้

 

1.โครงการลงทุนสร้างศูนย์ Smart Digital Hub ในพื้นที่ EEC โดยศูนย์ฯ ดังกล่าวจะอาศัยเทคโนโลยีระดับโลกของอาลีบาบาในด้านการประมวลข้อมูลโลจิสติกส์เพื่อทำให้การขนส่งสินค้าระหว่างไทยกับจีน การขนส่งสินค้าข้ามพรมแดนสู่ประเทศเพื่อนบ้าน (CLMV) และไปยังที่อื่นทั่วโลก ให้มีความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูงสุด นอกจากนี้ ยังได้มีการประสานกับกรมศุลกากรในการยกระดับพิธีการทางศุลกากรให้เป็นระบบดิจิทัลด้วย

 

การตั้งศูนย์ Smart Digital Hub นี้จะช่วยผลักดันให้เหล่าธุรกิจสตาร์ทอัพและเอสเอ็มอีของไทยสามารถพัฒนาสินค้าและบริการใหม่ ๆ โดยอาศัยเทคโนโลยีดิจิทัลให้เข้าถึงตลาดทั่วโลกได้ รวมถึงจะเป็นศูนย์กลางการในการดำเนินกิจกรรมวิจัยพัฒนาดิจิทัลที่เกี่ยวข้อง ซึ่งสำนักงาน EEC จะเชื่อมประสาน Smart Digital Hub กับเขตนวัตกรรมดิจิทัล หรือดิจิทัลพาร์ค (EECd) และเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EECi) ด้วย

 

2.โครงการความร่วมมือด้านการพัฒนาบุคลากรในด้านดิจิทัลและการส่งเสริมธุรกิจผ่าน E-Commerce ซึ่งอาลีบาบาจะร่วมกับกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม และกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ในการพัฒนากลุ่มคนเก่งหรือดาวเด่นด้านดิจิทัล (Digital Talent) โดยอาลีบาบาได้เสนอให้วิทยาลัยธุรกิจอาลีบาบา หรือ Alibaba Business School (ABS) มาร่วมสนับสนุนการใช้ Platform E-Commerce โดยจะเชื่อมโยงกับสถาบันการศึกษาและภาคเอกชน

 

ภายใต้โครงการนี้ อาลีบาบาจะเปิดโอกาสให้นักศึกษา นักวิจัย อาจารย์ รวมถึงผู้ประกอบการไทย เข้าร่วมโครงการฝึกอบรมพัฒนาในด้านดิจิทัลและอีคอมเมิร์ซให้มีความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง รวมทั้งสร้างเครือข่าย (Networking) กับดาวเด่นหรือ Talents ทั่วโลกที่ประเทศจีนอีกด้วย

 

3.โครงการร่วมส่งเสริมพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลอีคอมเมิร์ซสำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีและสตาร์ทอัพของไทย เพื่อยกระดับขีดความสามารถด้านเทคโนโลยีดิจิทัลโดยเน้นให้ผู้ประกอบการมีความเข้าใจ ได้เรียนรู้ และเสริมทักษะการใช้เทคโนโลยีไทยให้สามารถเข้าถึง Regional Global Value Chain ซึ่งอาลีบาบาจะจัดทีมงานร่วมลงพื้นที่กับทีมงานของกระทรวงอุตสาหกรรม โดยใช้เครือข่าย ศูนย์ปฏิรูปอุตสาหกรรม 4.0 สู่อนาคต (Industry Transformation Center : ITC) ในระดับภาคและจังหวัดของกระทรวงอุตสาหกรรมทั่วประเทศ

 

​4.อาลีบาบาจะร่วมมือกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หรือ ททท. ในการจัดทำ Thailand Tourism Platform สำหรับประเทศไทยโดยเฉพาะ เพื่อจัดกิจกรรมด้านการตลาดร่วมกันบน Online Platform ที่สามารถเชื่อมโยงกับสื่อและช่องทางต่าง ๆ ของ ททท. รวมทั้งจะร่วมมือกันในด้านการใช้ข้อมูลทางการท่องเที่ยว (Tourism Big Data) เพื่อเจาะลูกค้ากลุ่มเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนร่วมมือกันส่งเสริมการท่องเที่ยวในไทยให้รองรับกับยุทธศาสตร์และแนวทางการขับเคลื่อนการท่องเที่ยวเมืองรองและการท่องเที่ยวในระดับชุมชนของรัฐบาล

 

5.กระทรวงพาณิชย์จะร่วมมือกับอาลีบาบาในการเปิดตัว Thai Rice Flagship Store บนเว็บไซต์ Tmall.com เพื่อสนับสนุนการขายข้าวไทยทางออนไลน์ในจีน ซึ่งจะช่วยผลักดันให้เกษตรกร ผู้ประกอบการ และผู้ส่งออกข้าวและผลิตภัณฑ์จากข้าว สามารถเข้าถึงตลาด E-commerce ในจีนได้อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งสอดรับกับเทรนด์ในปัจจุบันที่สินค้าไทยกำลังเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายในจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าเกษตรและอาหารของไทย

 

รมว.อุตสาหกรรม ระบุว่า อาลีบาบาได้ทำการศึกษาข้อมูลเปรียบเทียบในระดับภูมิภาค และเล็งเห็นว่าประเทศไทยมีศักยภาพสูงที่จะเป็นศูนย์กลางด้านดิจิทัลและอีคอมเมริซ์ในภูมิภาค จึงมีความตั้งใจที่จะมาลงทุนและร่วมมือกับหน่วยงานของไทยในโครงการต่าง ๆ ซึ่งรายได้จากธุรกิจอีคอมเมิรซ์ในภูมิภาคนี้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง โดยคาดว่ารายได้จากธุรกิจอีคอมเมิรซ์ในประเทศไทยจะเติบโตอย่างก้าวกระโดดจาก 113,400 ล้านบาท ในปี 2561 เป็น 186,500 ล้านบาท ในปี 2565 โดยมีนโยบายประเทศไทย 4.0 และเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ที่ช่วยสร้างความมั่นใจในทิศทางการพัฒนาประเทศ ระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน คมนาคมขนส่ง ระบบโลจิสติกส์ โครงข่ายทางดิจิทัล และมาตรการสิทธิประโยชน์ รวมถึงการอำนวยความสะดวกในการลงทุน ทำให้อาลีบาบาเล็งเห็นโอกาสที่จะผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางธุรกิจอีคอมเมิร์ซในภูมิภาค