ECONOMICS

หวั่นค่าเงินบาทแข็ง ซ้ำเติมภาคส่งออก
POSTED ON 25/08/2559


เศรษฐกิจอุตสาหกรรม 25 ส.ค.2559 - ฝ่ายวิจัยธุรกิจ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) ระบุว่า ปัจจุบันเงินบาทที่แข็งค่าสุดในรอบ 1 ปี หรือแข็งค่าขึ้นราว 4% นับตั้งแต่ต้นปี 2559 กำลังเป็นประเด็นร้อนที่ถูกพูดถึงในวงกว้าง ซึ่งเงินบาทที่แข็งค่าดังกล่าวมีสาเหตุหลักมาจากเงินทุนเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศที่ไหลเข้าตลาดเกิดใหม่รวมทั้งไทยมากขึ้น เพื่อแสวงหาผลตอบแทนที่สูงกว่า หลังประเทศมหาอำนาจอย่างยุโรป ญี่ปุ่น และอังกฤษใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยต่ำ อีกทั้งยังอัดฉีดเม็ดเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่อง ประกอบกับเศรษฐกิจไทยส่งสัญญาณในทิศทางที่ดีขึ้น ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวทำให้หลายฝ่ายมีความกังวลว่าเงินบาทที่แข็งค่าอาจยิ่งซ้ำเติมภาคส่งออกไทยที่กำลังอยู่ในช่วงซบเซาให้แย่ลงอีก

 

อย่างไรก็ตาม การแข็งค่าของเงินบาทในช่วงนี้อาจไม่ได้กระทบต่อการส่งออกมากอย่างที่หลายฝ่ายกังวล จากข้อสังเกตบางประการที่น่าสนใจ ดังนี้

 

1. เงินบาทเคลื่อนไหวเกาะกลุ่มไปกับสกุลเงินอื่นในภูมิภาค จากเงินทุนเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศที่ไหลเข้ามาทั่วภูมิภาค ทำให้สกุลเงินส่วนใหญ่ในภูมิภาคเอเชียแข็งค่าไปในทิศทางเดียวกัน โดยเงินบาทที่แข็งค่า 4% ตั้งแต่ต้นปี สอดคล้องกับทิศทางค่าเงินของประเทศคู่ค้าและคู่แข่งสำคัญ อาทิ มาเลเซีย แข็งค่าขึ้นกว่า 7%, เกาหลีใต้ แข็งค่าขึ้น 5.8%, สิงคโปร์ แข็งค่าขึ้น 5.2%, อินโดนีเซีย แข็งค่าขึ้น 5.2%, ไต้หวัน แข็งค่าขึ้น 5.1% และเวียดนาม แข็งค่าขึ้น 1.9% เป็นต้น ปัจจัยดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าแม้เงินบาทจะแข็งค่าขึ้นในบางช่วงเวลา แต่ยังเป็นไปในทิศทางเดียวกับสกุลเงินอื่นในภูมิภาค ซึ่งไม่ได้ก่อให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบต่อภาคส่งออกไทยมากนัก

 

2. ค่าเงินมีผลกระทบต่อการส่งออกไม่มากเหมือนในอดีต ในทางทฤษฎีแม้เงินบาทที่อ่อนค่าจะช่วยให้ราคาของสินค้าไทยถูกลงในสายตาต่างชาติ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการส่งออก (Price Effect) ได้ระดับหนึ่ง แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาประเด็นของ Price Effect กลับมีผลต่อการส่งออกค่อนข้างน้อย สังเกตได้จากในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เงินบาทอ่อนค่าต่อเนื่องจาก 28 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐในปี 2556 จนทะลุ 36 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐในปี 2558 หรืออ่อนค่าราว 22% ในช่วง 3 ปี ซึ่งนับว่าอ่อนค่ากว่าค่าเงินคู่แข่งเกือบทุกสกุล แต่การส่งออกของไทยในช่วงดังกล่าวกลับหดตัว 3 ปีติดต่อกัน ขณะที่หลายประเทศโดยเฉพาะเวียดนามที่แม้ตั้งแต่ต้นปี 2559 เงินด่องจะแข็งค่าขึ้นในทิศทางเดียวกับเงินบาท แต่การส่งออกของเวียดนามยังขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง จึงสะท้อนให้เห็นว่าปัจจุบันยังมีปัจจัยพื้นฐานอื่น ๆ ที่มีผลต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคส่งออกมากกว่าค่าเงิน อาทิ ภาวะเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้า การสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ รวมถึงการผลิตสินค้าที่ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคและสอดคล้องกับ Global Megatrends เป็นต้น

 

แม้อัตราแลกเปลี่ยนจะมีผลต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคส่งออกไม่มากเหมือนเช่นอดีต แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าอัตราแลกเปลี่ยนยังมีผลต่อรายได้ในรูปเงินบาท (Income Effect) ของผู้ส่งออกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้น ผู้ส่งออกไทยต้องเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา

 

ส่วนข้อเสนอแนะเพื่อปรับตัวและทางออกของผู้ส่งออกไทยนั้น ในระยะสั้นควรป้องกันความเสี่ยงและปรับปรุงกระบวนการผลิต โดยใช้เครื่องมือทางการเงินเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน อาทิ การทำ Forward Contract การเปิดบัญชีสกุลเงินตราต่างประเทศ (FCD) การ Matching เงินได้กับค่าใช้จ่ายที่เป็นเงินสกุลเดียวกัน เป็นต้น นอกจากนี้ ช่วงที่เงินบาทแข็งค่าถือเป็นจังหวะที่ดีในการนำเข้าเครื่องจักรและเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต

 

ส่วนในระยะยาว ผู้ประกอบการไทยจะต้องเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เช่น การสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่ช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า เพื่อหลีกเลี่ยงการแข่งขันด้านราคา การปรับเปลี่ยนรูปแบบสินค้าให้สอดคล้องกับ Global Megatrends เพื่อตอบสนองผู้บริโภคยุคใหม่ การมุ่งเจาะตลาดส่งออกใหม่ที่มีศักยภาพ เพื่อขยายตลาดใหม่ ๆ และกระจายความเสี่ยงจากตลาดส่งออกเดิม รวมไปถึงการมองหาช่องทางในการลงทุนต่างประเทศ เพื่อแสวงหาโอกาสใหม่ ๆ และลดข้อจำกัดของปัญหาเชิงโครงสร้างในประเทศ

 

Tags : อุตสาหกรรม, ข่าวอุตสาหกรรม, สื่ออุตสาหกรรม, โรงงาน, เครื่องจักรกล, การผลิต, พลังงาน, โลจิสติกส์, Industry, Industrial, Industrial News, Industrial Media, Factory, Machinery, Machine, Manufacturing, Energy, Logistics