แชร์ อนุมัติสินเชื่อ PGS ระยะ 5 อีก 3.8 พันล้านบาท ช่วยเอสเอ็มอี POSTED ON 15/07/2558 เศรษฐกิจอุตสาหกรรม - รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า ครม.มีมติอนุมัติตามที่ กระทรวงการคลังเสนออนุมัติการปรับปรุงหลักเกณฑ์ และวิธีปฏิบัติในการค้ำประกันสินเชื่อโครงการ Portfolio Guarantee Scheme (PGS) ระยะที่ 5 และอนุมัติวงเงินงบประมาณเพื่อดำเนินการตามโครงการ PGS ระยะที่ 5 เพิ่มเติมอีกจำนวน 3,805 ล้านบาท และให้บรรษัท ประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เบิกจ่ายตามภาระที่เกิดขึ้นจริงโดยทำความ ตกลงกับสำนักงบประมาณต่อไป โดยสาระสำคัญดำเนินการปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติในการค้ำประกันสินเชื่อโครงการ PGS ระยะที่ 5 โดยกำหนดกรอบวงเงินค้ำประกันตามเงื่อนไขเดิมของโครงการ PGS ระยะที่ 5 ไว้ที่จำนวน 20,000 ล้านบาท รัฐบาลเป็นผู้รับภาระค่าธรรมเนียมแทนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในปีแรก ขณะเดียวกันได้ดำเนินการปรับเงื่อนไขโครงการ PGS ระยะที่ 5 ในวงเงินส่วนที่เหลือจากโครงการ PGS กรอบวงเงินค้ำประกันจำนวนไม่เกิน 80,000 ล้านบาท ทั้งนี้ เงื่อนไขที่ปรับปรุงใหม่กำหนดให้ธนาคารที่เข้าร่วมโครงการคิดอัตราดอกเบี้ยให้กับผู้ประกอบการในอัตราไม่เกิน MLR + 2 และเพิ่มเงื่อนไขว่าเอสเอ็มอีต้องได้รับการตรวจสอบเครดิตบูโรแล้วเป็นลูกหนี้ปกติตามเกณฑ์ข้อกำหนดของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยรัฐบาลจ่ายค่าประกันชดเชยกรณีที่เป็นหนี้เสียทั้งโครงการรวมทั้งสิ้นไม่เกิน 30% ของวงเงินค้ำประกันรวม และจ่ายค่าประกันชดเชยตามภาระค้ำประกันเอสเอ็มอีแต่ละราย เป็นสัดส่วน 70% ของภาระค้ำประกัน และสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการรับภาระในส่วน 30% ที่เหลือ ก่อนหน้านี้ ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 8 ม.ค.2556 เห็นชอบมาตรการการคลัง และการเงินเพื่อบรรเทาผลกระทบจากการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ และเพิ่มขีดความสามารถของผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ตามโครงการค้ำประกันสินเชื่อ PGS ระยะที่ 5 และคณะรักษาความสงบแห่งชาติได้มีมติ เมื่อวันที่ 24 มิ.ย.2557 เห็นชอบหลักเกณฑ์มาตรการรับภาระค่าธรรมเนียมแทนผู้ประกอบการในโครงการ PGS ระยะที่ 5 ในปีแรกวงเงิน 55,000 ล้านบาท โดยให้ บสย. เบิกจ่ายตามภาระที่เกิดขึ้นจริง นอกจากนี้ ครม.ได้มีมติเมื่อวันที่ 16 มิ.ย.2558 เห็นชอบมาตรการเพิ่มวงเงินที่รัฐชำระค่าธรรมเนียมค้ำประกันสินเชื่อแทนผู้ประกอบการ SMEs ที่ให้ บสย. ค้ำประกันสินเชื่อผ่านโครงการ PGS ระยะที่ 5 เพิ่มอีกจำนวน 50,000 ล้านบาท และอนุมัติวงเงินงบประมาณชดเชยค่าธรรมเนียมจำนวนไม่เกิน 875 ล้านบาท โดยให้ บสย. เบิกจ่ายตามภาระที่เกิดขึ้นจริง