BUSINESS

"อินโดรามา เวนเจอร์" เล็งซื้อ 2 โรงงาน ในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ
POSTED ON 25/02/2557


ธุรกิจอุตสาหกรรม - นายดีลิป กุมาร์ อากาวาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส (IVL) กล่าวว่า ในครึ่งปีแรกบริษัทฯ จะดำเนินการซื้อกิจการ 2 แห่ง ในกลุ่มประเทศตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ (MENA) ประกอบด้วยโรงงานผลิตพีอีที 1 แห่ง ซึ่งมีกำลังการผลิต 130,000 ตันต่อปี เบื้องต้นคาดว่าจะซื้อกิจการแล้วเสร็จในปลายเดือน มี.ค.2557 และโรงงานผลิตไฟเบอร์และพีอีทีชนิดพิเศษ กำลังการผลิตประมาณ 300,000 ตันต่อปี คาดว่าจะสรุปได้ในครึ่งปีแรก และจะส่งผลให้กำลังการผลิตของบริษัทเพิ่มอีก 430,000 ตันต่อปี

 

ทั้งนี้ การเข้าซื้อกิจการดังกล่าว ยังไม่ได้รวมในเป้าหมายการขยายกำลังการผลิตและเป้าหมายการเติบโตของรายได้ในปีนี้ ส่วนเงินลงทุนจะมาจากการกู้และกระแสเงินสดภายใน ปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนหนี้สินต่อทุนที่ 1.2 เท่า

 

"การซื้อกิจการ 2 ดีลที่กำลังเจรจาอยู่นี้จะเป็นการซื้อกิจการครั้งแรกรอบ 18 เดือน หลังจากที่หยุดซื้อกิจการไป สาเหตุที่เริ่มกลับมาซื้อกิจการเพิ่มเพราะมองว่าเศรษฐกิจโลกมีการฟื้นตัวและปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้นเศรษฐกิจสหรัฐที่เริ่มฟื้นตัว ส่วนยุโรปก็เริ่มคงที่ และการเติบโตของเศรษฐกิจจีนที่ 7% ก็ไม่จัดว่าเลวร้าย" ซีอีโอ ของ IVL กล่าว

 

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 3 ก.พ.2557 บริษัทฯ ได้ประกาศซื้อกิจการของ PHP Fibers GmbH มีโรงงานตั้งอยู่ในทวีปอเมริกา ทวีปยุโรป และสาธารณรัฐประชาชนจีน ผลิตเส้นใยถุงลมนิรภัย ซึ่งมีกำลังการผลิตที่ 1000,000 แสนตัน และภายในไตรมาส 3/2557 กำลังการผลิตจะเพิ่มขึ้นเป็น 250,000 ตันต่อปี และคาดการณ์ว่าโรงงานดังกล่าวจะสร้างรายได้ให้บริษัท 320 ล้านดอลาร์ต่อปี

 

นอกจากนี้ ในครึ่งปีหลังบริษัทฯ คาดว่าจะมีการเข้าซื้อกิจการเพิ่ม ขณะนี้กำลังศึกษารายละเอียด ธุรกิจที่สนในคือธุรกิจบรรจุภัณฑ์ เนื่องจากเป็นธุรกิจที่มีการเติบโตต่อเนื่องไม่ว่าเศรษฐกิจโลกจะไปในทิศทางใดก็ตาม

 

นายดีลิป กล่าวว่า ปีนี้บริษัทฯ จัดสรรงบลงทุนไว้ 300-400 ล้านดอลลาร์ สำหรับปรับปรุงการผลิตและขยายกำลังการผลิต ขณะเดียวกัน วางเป้าหมายเพิ่มกำลังการผลิตรวมเป็น 6.6 ตันต่อปี จากปีที่แล้วที่มีกำลังการผลิตรวม 5.8 ล้านตันต่อปี อย่างไรก็ตาม งบลงทุนจำนวนดังกล่าวยังไม่รวมการซื้อกิจการใหม่ 2 แห่ง

 

แนวโน้มกำไรสุทธิปีนี้จะมากกว่าปีที่แล้ว เนื่องจากรายได้เพิ่มขึ้นตามกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น และอิบิทดาก็จะเพิ่มขึ้นมากกว่ารายได้ ขณะเดียวกัน การปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตทำให้บริษัทมีต้นทุนการผลิตที่ต่ำลง รวมถึงการเข้าสู่ธุรกิจใหม่อาทิ เส้นใยถุงลมนิรภัย ก็ทำให้มาร์จิ้นของผลิตภัณฑ์สูงขึ้นเช่นกัน ส่วนรายได้รวมปีนี้ บริษัทวางเป้าหมายที่ 8.7 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 17% จากปีก่อนที่มีรายได้รวม 7.4 พันล้านดอลลาร์

 

"ตอนนี้ธุรกิจได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วและธุรกิจน่าจะเข้าสู่วงจรขาขึ้นแล้ว ยกเว้นผลิตภัณฑ์พีทีเอที่ราคายังเคลื่อนไหวอยู่ในระดับต่ำโดยเฉพาะจากพีทีเอในประเทศจีน ตอนนี้บริษัทพยายามลงทุนในธุรกิจผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ให้มูลค่าเพิ่มสูงขึ้น" นายดีลิป กล่าว

 

ผลประกอบการงวดปี 2556 บริษัทฯ มีรายได้รวม 6.8 พันล้านดอลลาร์ สูงกว่าในปี 2555 ถึงแม้จะมีการปิดโรงงานในรัฐเท็กซัส ประเทศสหรัฐอเมริกาในไตรมาสที่ 2 เป็นระยะเวลาประมาณ 2 เดือน ส่วนไตรมาส 4/2556 บริษัทมีรายได้รวม 1.8 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจาก 1.6 พันล้านดอลลาร์ ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน หรือเพิ่มขึ้น 14% ขณะที่กำไรหลักก่อนหักส่วนแบ่งขาดทุนจากกิจการร่วมทุนและส่วนของผู้ถือหุ้นส่วนน้อยในปี 2556 เท่ากับ 97 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจาก 76 ล้านดอลลาร์ในปี 2555