BUSINESS

กันยงฯ เร่งขยายการผลิตและส่งออก หนีค่าเงินบาทอ่อนและการเมืองวุ่น
POSTED ON 14/01/2557


ธุรกิจอุตสาหกรรม - นายประพัฒน์ โพธิวรคุณ ประธานกรรมการ บริษัท กันยงอีเลคทริก จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แผนธุรกิจจากนี้ไปบริษัทฯจะหันมาเน้นการทำตลาดส่งออกไปจำหน่ายตาางประเทศมากขึ้นกว่าเดิม ทั้งๆ ที่ตลาดต่างประเทศเดิมก็มีสัดส่วนสูงถึง 70% อยู่แล้ว เนื่องจากเหตุผลหลัก 2 ข้อคือ ประการคือปัญหา 2 ประการคือ (1) ค่าเงินบาทที่เริ่มอ่อนตัวลงต่อเนื่อง และ (2) ปัญหาความขัดแย้งและการชุมนุมทางการเมืองในไทยที่วุ่นวายไม่จบ

      

"ตอนนี้ค่าเงินบาทที่อ่อนตัวลงทำให้การส่งออกเป็นเรื่องที่ดี และเราต้องขยายตลาดให้มากขึ้น ทางหนึ่งก็เพื่อนำรายได้มาชดเชยในส่วนต้นทุนที่สูงขึ้นจากการนำเข้วัตถุดิบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ จากต่างประเทศ เพื่อนำมาผลิตสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือนแล้วประมาณ 10% เพราะค่าเงินบาทที่่อ่อนตัวลงเช่นกัน ส่วนปัญหาการเมืองนั้น ล่าสุดในวันที่ 13 มกราคมที่จะมีการชัตดาวน์กรุงเทพฯ ยังไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร รัฐบาลต้องเร่งสร้างความเชื่อมั่นให้มากขึ้น” นายประพัฒน์ กล่าว

      

ทั้งนี้ หากค่าเงินบาทยังคงมีแนวโน้มอ่อนอยู่ในระดับนี้ บริษัทฯ มั่นใจว่า ภายในปีงบประมาณ 2559 ของบริษัทฯคงจะมีรายได้รวมประมาณ 20,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2555 ที่มีรายได้รวมประมาณ 9,555 ล้านบาท

      

ด้าน นายซาดาฮิโร โทมิตะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท กันยงอีเลคทริก จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทฯ มีแผนที่จะลงทุนเฉลี่ยปีละประมาณ 200-300 ล้านบาท ในช่วง 3 ปีจากนี้รวมเป็นงบกว่า 600-900 ล้านบาท เพื่อใช้ในการเพิ่มกำลังการผลิตสินค้าต่างๆ ทั้ง 5 กลุ่มที่ทำการผลิตอยู่ โดยวางแผนที่จะเพิ่มกำลังการผลิตต่อเนื่องให้ได้มากถึง 2 เท่า เพื่อรองรับการขยายตลาดทั้งการส่งออกในอนาคต ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯ มีกำลังการผลิตตู้เย็นและพัดลม อยู่ที่ประมาณ 1 ล้านเครื่องต่อปี ขณะที่เครื่องปั๊มน้ำ และพัดลมระบายอากาศมีกำลังผลิตอยู่ที่ 5 แสนเครื่องต่อปี ส่วนเครื่องเป่ามือมีกำลังผลิตอยู่ที่ประมาณ 3 หมื่นเครื่องต่อปี

      

การเพิ่มกำลังผลิตก็เพื่อตอบรับแผนการรุกต่างประเทศมากขึ้น ซึ่งตลาดหลักต่างประเทศที่บริษัทฯจะขยายมากขึ้นและให้ความสำคัญมากขึ้นคือ ตลาดอาเซียน โดยเฉพาะหลังจากการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือเออีซี ในปี 2558 แล้ว อาเซียนจะเป็นตลาดที่ใหญ่และมีความน่าสนใจกว่าเดิม

 

โดยประเทศหลักที่จะเป็นตลาดสำคัญมี 3 ประเทศคือ อินโดนีเซีย เวียดนาม และฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นตลาดที่มีกำลังซื้อในเกณฑ์ที่ดีและมีจำนวนประชากรมากด้วย ซึ่งที่ผ่านมานั้นก็ได้ทำการส่งออกสินค้ามาบ้างแล้ว โดยในประเทศเวียดนามบริษัทได้ส่งออกสินค้าเข้าไปทำตลาดแล้วเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา ขณะที่อินโดนีเซีย ได้รับการตอบรับที่ดีและเพิ่งเริ่มเข้าไปทำตลาดเมื่อเดือน พ.ย. 2556 ก็มีแนวโน้มที่ดีเช่นกัน

      

นายซาดาฮิโร กล่าวว่า สำหรับรายได้ของบริษัทฯ 30% มาจากในไทย ขณะที่อีก 70% มาจากต่างประเทศจากการส่งออกไปประเทศญี่ปุ่น ซึ่งคิดเป็น 44% ของทั้งหมดการส่งออก และประเทศอื่นๆ เช่น กลุ่มประเทศในอาเซียน และยุโรป 19% ทั้งนี้ในตลาดส่งออกอื่นๆนั้น มาจากอาเซียนมากที่สุดถึง 90% ซึ่งหลังจากหันมาขยายตลาดส่งออกไปยังกลุ่มประเทศอื่นๆ มากขึ้น มั่นใจว่าสิ้นปี 2557 จะมีสัดส่วนรายได้จาก 19% เป็น 24%