ธุรกิจอุตสาหกรรม - JMART และกลุ่มนักลงทุนได้เข้าซื้อหุ้นบริษัท ซิงเกอร์ ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SINGER จำนวน 40% (108 ล้านหุ้น) คิดเป็นสัดส่วน 24.99% เพื่อต่อยอดธุรกิจของบริษัทฯ และสร้างประโยชน์ในอนาคต โดยการเข้าซื้อหุ้นในครั้งนี้จะมีการวางแผนใช้ประโยชน์ร่วมกัน (SYNERGY) ในการขยายฐานระหว่างกัน โดยปัจจุบัน JMART เองก็ได้ดูแลหนี้ที่ SINGER ไม่มีความสามารถในการจัดเก็บอยู่แล้ว

Retail Holdings N.V. บริษัทแม่ของซิงเกอร์ (ประเทศไทย) เจ้าของสิทธิเครื่องหมายการค้า SINGER ได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่า บริษัทฯได้ขายหุ้นทั้งหมดใน SINGER (40%) โดย บมจ.ซิงเกอร์ (ประเทศไทย) จะยังคงได้สิทธิใช้เครื่องหมายการค้า SINGER ต่อไป

ซีอีโอของ Retail Holdings N.V ระบุว่า จำนวนหุ้น SINGER ที่บริษัทฯมีนั้นถือเป็นส่วนน้อยเมื่อเทียบกับเงินลงทุนในกิจการอื่น อีกทั้งรูปแบบการทำธุรกิจของซิงเกอร์ (ประเทศไทย) เน้นการขายตรงและเงินผ่อน ซึ่งแตกต่างจากธุรกิจค้าปลีกตัวอื่นของบริษัทฯที่ทำอยู่ทั่วโลก ดังนั้น การขายเงินลงทุนใน SINGER ครั้งนี้จึงเป็นประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้น Retail Holdings N.V. มากกว่า

สำหรับสาเหตุที่ขายหุ้นออก เนื่องจากกลุ่ม SINGER เอเชีย ได้จัดโครงสร้างใหม่ที่เน้นร้านค้าปลีก ขณะที่ SINGER ประเทศไทยเป็นการขายตรงและธุรกิจเล็กเกินไป โดย JMART เตรียมเข้าพบผู้บริหารของ SINGER และคาดว่า JMART จะรับรู้รายได้ของ SINGER ในไตรมาส 3 ของปีนี้ โดย JMART ได้ตั้งงบลงทุนปีนี้ 4,000 ล้านบาท ในการขยายสาขาเพิ่ม 10 สาขาทั่วประเทศ จากปัจจุบัน 255 สาขา และใช้ซื้อกิจการ

ด้าน นายอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ JMART เปิดเผยว่า "ปัจจุบัน SINGER มี NPL ที่คาดว่าจะกลายเป็นหนี้เสียอยู่บางส่วน ซึ่ง JMART จะเข้ามาช่วยในเรื่องการบริหารหนี้เสียต่อไป ทั้งนี้ ยืนยันว่าจะไม่มีการซื้อหุ้น SINGER เพิ่ม รวมถึงจะไม่มีการเปลี่ยนโครงสร้างผู้บริหาร จะยังคงให้ทีมบริหารของ SINGER ทำหน้าที่ต่อไป เนื่องจากทีมผู้บริหารมีความสามารถและประสบการณ์ที่ดีเยี่ยมอยู่แล้ว ซึ่งในช่วงต่อจากนี้จะอยู่ในช่วงหารือร่วมกันเพื่อให้เกิดประโยชน์ร่วมกันทั้งสองฝ่าย และ JMART ยังคงแสวงหาโอกาสทางธุรกิจเพิ่มด้วยการลงทุนในกิจการที่สามารถ Synergy พร้อมทั้งเอื้อประโยชน์ร่วมกันต่อเนื่องอีก หากเห็นว่าเป็นโอกาสที่ดี และผู้ถือหุ้นได้รับประโยชน์สูงสุด"

สำหรับ SINGER ดำเนินธุรกิจในไทยมากว่า 125 ปี ตั้งแต่ปี 2432 โดยเป็นผู้จำหน่ายจักรเย็บผ้าและผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับจักรเย็บผ้าที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ ก่อนขยายสู่ธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้า โดยการผ่อนชำระเป็นงวด และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในปี 2537 ปัจจุบันสินค้าหลัก คือ สินค้าในเชิงพาณิชย์ เช่น ตู้แช่ ตู้เติมน้ำมัน ตู้เติมเงินโทรศัพท์มือถือ เครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือน และจักรเย็บผ้า