BUSINESS

IRPC เผย 2 ปีนี้ยังไร้แผนลงทุนเพิ่ม รอกำไรคืนจากโครงการเก่าก่อน
POSTED ON 06/07/2558


ธุรกิจอุตสาหกรรม - นสพ.บ้านเมือง รายงานเมื่อเร็วๆ นี้ต่อกรณีที่ "นายสุกฤตย์ สุรบถโสภณ" กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทฯมีความกังวลกรณีการปรับลดปริมาณสำรองน้ำมันสำเร็จรูปตามกฎหมาย จากปัจจุบันประมาณ 6% เหลือประมาณ 1% หรือลดลงประมาณ 18 วัน ที่ภาครัฐเพิ่งประกาศไป ซึ่งจะทำให้ลูกค้าที่เคยเช่าคลังเพื่อสำรองน้ำมันของบริษัทฯยกเลิกสัญญา และอาจจะกระทบกับรายได้ของบริษัทฯประมาณ 5% ที่หายไป จากที่ไตรมาสแรกของปีนี้มีรายได้รวมอยู่ที่ 4.99 หมื่นล้านบาท

 

ภายหลังกระทรวงพลังงานประกาศลดปริมาณสำรองน้ำมันสำเร็จรูปแล้ว คลังของไออาร์พีซีจะปล่อยว่าง  ดังนั้น จึงกำลังพิจารณาว่าคลังที่มีอยู่จะนำมาใช้ให้ก่อประโยชน์ได้อย่างไร ซึ่งเบื้องต้นมองว่า หากราคาน้ำมันเป็นช่วงขาขึ้น บริษัทฯอาจจะซื้อน้ำมันมาสต็อกเพื่อเก็งกำไรและกินส่วนต่างราคาน้ำมันไว้ก่อน อย่างไรก็ตาม จะต้องคุ้มค่ากับเนื้อน้ำมันบวกดอกเบี้ย ที่จะต้องมีส่วนต่างประมาณไม่ต่ำกว่า 50 เซ็นต์ต่อบาร์เรล

 

สำหรับแนวโน้มการดำเนินงานในช่วงครึ่งหลังปีนี้ บริษัทฯคาดว่าค่าการกลั่นรวม (GIM) จะสูงกว่าประมาณ 10 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เทียบกับปีก่อนอยู่ที่ประมาณ 7 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เนื่องจากราคาน้ำมันที่ลดต่ำลงคาดการณ์ทั้งปีนี้จะเฉลี่ยประมาณ 60 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ส่งผลให้กลุ่มโรงกลั่นน้ำมันและธุรกิจปิโตรเคมีดีกว่าที่คาดการณ์ไว้

 

ส่วนแนวโน้มปี 2559 ยังคาดว่าจะอยู่ในเกณฑ์ที่ดี เนื่องจากคาดว่าราคาน้ำมันจะปรับสูงขึ้นกว่าประมาณ 2-3 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เมื่อเทียบกับปีก่อน และหากเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวก็ยิ่งส่งผลให้ความต้องการใช้น้ำมันและปิโตรเคมีสูงขึ้น

 

นายสุกฤตย์ กล่าวว่า "สถานการณ์น้ำมันในปีนี้ นับว่าผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และตอนนี้เริ่มปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้บริษัทไม่มีการบันทึกขาดทุนจากสต็อกน้ำมัน ซึ่งราคาน้ำมันดิบปีนี้คาดว่าจะเฉลี่ยที่ 60 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล และไม่น่าจะต่ำลงไปมากกว่านี้แล้ว ขณะที่กลุ่มโอเปกไม่ได้ผลิตน้ำมันเพิ่ม ส่งผลให้ความต้องการและจัดหามีความสมดุลกัน รวมถึงในช่วงปลายปีจะเป็นช่วงฤดูหนาวที่จะมีความต้องการใช้พลังงานเพิ่มขึ้น"

 

"ส่วนแผนลงทุนโครงการใหญ่ในช่วง 1-2 ปีนี้ คงจะยังไม่มีการลงทุนในโครงการใหม่ๆ เนื่องจากต้องการเดินหน้าโครงการต่างๆ ภายใต้โครงการฟินิกซ์ให้แล้วเสร็จก่อน ไม่ว่าจะเป็น โครงการเพิ่มมูลค่าเพื่อผลิตภัณฑ์สะอาด (UHV) ช่วยเพิ่มกำลังการกลั่นน้ำมันจากประมาณ 1.7-1.8 แสนบาร์เรลต่อวัน เพิ่มเป็นประมาณ 2.15 แสนบาร์เรลต่อวัน และโครงการขยายกำลังการผลิตเม็ดพลาสติกโพลีโพรพิลีน (PP) เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 3 แสนตันต่อปี ดังนั้น บริษัทฯจึงต้องการให้เงินลงทุนกลับคืนมาจากโครงการเหล่านี้ก่อน ซึ่งเชื่อว่าผลตอบแทนที่จะได้กลับมาจากโครงการดังกล่าวจะช่วยให้บริษัทเติบโตขึ้น ซึ่งการขยาย UHV จะช่วยให้ธุรกิจโรงกลั่นดีขึ้น ส่วนการขยาย PP จะช่วยให้ธุรกิจปิโตรเคมีแข็งแกร่งมากขึ้น" นายสุกฤตย์ กล่าว

 

สำหรับงบลงทุน 5 ปี (2558-2562) ตั้งไว้ที่ 2.8 หมื่นล้านบาท โดยในปีนี้จะใช้เงินลงทุนประมาณ 1.6 หมื่นล้านบาท ในโครงการ UHV ซึ่งเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มผลิตภัณฑ์ด้วยการนำน้ำมันเตามาเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี ทำให้บริษัทฯมีโครงการขยายกำลังการผลิต PP อีก 3 แสนตันต่อปี ใช้เงินลงทุน 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คาดแล้วเสร็จใน 2 ปีข้างหน้า หรือในปี 2560 ส่งผลให้บริษัทฯมีกำลังผลิต PP รวมทั้งสิ้น 7.75 แสนตันต่อปี

 

ส่วนความคืบหน้าโครงการโรงไฟฟ้าขนาดประมาณ 240 เมกะวัตต์ที่ร่วมกับ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ จีพีเอสซี จะแบ่งเป็น 2 เฟส โดยเฟสแรกจะขายให้กับโครงการ UHV ส่วนเฟส 2 จะขายให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย คาดว่าจะแล้วเสร็จในอีก 2 ปีข้างหน้า