BUSINESS

บางจาก กางแผน 6 ปี ปรับเพิ่มสัดส่วนธุรกิจพลังงานทดแทน
POSTED ON 03/06/2558


ธุรกิจอุตสาหกรรม - นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แม้ราคาน้ำมันตลาดโลกจะลดลงต่อเนื่อง แต่รายได้ของบางจากเพิ่มขึ้นต่อเนื่องสวนกระแสตลาด เหตุเพราะมีการบริหารความเสี่ยงหลายด้าน รวมถึงราคาน้ำมันขายปลีกปรับลดลงช้ากว่าน้ำมันดิบตลาดโลก จึงสามารถบริหารความเสี่ยงได้ ทำให้ค่าการกลั่นอยู่ในระดับน่าพอใจ

 

ทั้งนี้ บริษัทฯคาดว่าผลประกอบการปีนี้จะทำกำไรก่อนหักภาษีประมาณ 10,400 ล้านบาท และยังได้ตั้งเป้าหมายให้ธุรกิจปั๊มน้ำมันขายปลีกเติบโตจากร้อยละ 10 เป็นร้อยละ 15 ธุรกิจโรงกลั่นเพิ่มจากร้อยละ 30 เป็นร้อยละ 35

 

บางจากวางแผนการลงทุน 6 ปี ระหว่างปี 2558-2563 ในธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมและธุรกิจ Green Power Plant ทั้งในและต่างประเทศ ใช้เงินลงทุนไม่ต่ำกว่า 50,000 ล้านบาท เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตปิโตรเลียมให้ได้ 20,000 บาร์เรลต่อวัน และขยายธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์ พลังงานชีวภาพ ชีวมวล ธุรกิจโรงไฟฟ้าจากพลังงานลม พลังงานความร้อนจากใต้พิภพ ฯลฯ เพิ่มเป็น 500 เมกะวัตต์ เพื่อสร้างความมั่นคงด้านพลังงานให้กับประเทศ

 

ดังนั้น บริษัทฯจึงปรับสัดส่วนรายได้จากการกลั่นและขายปลีกน้ำมันมาอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันอยู่ในสัดส่วนน้ำมันต่อธุรกิจอื่น 70 : 30 เมื่อแนวโน้มเศรษฐกิจโลกหันไปพึ่งพาพลังงานทดแทนมากขึ้น จึงต้องเพิ่มสัดส่วนรายได้จากน้ำมันกับธุรกิจแนวใหม่เป็น 50 : 50 ในช่วง 5 ปีข้างหน้า ด้วยการรุกตลาดพลังงานทดแทนมากขึ้น เช่น โครงการโซล่าเซลล์ การสำรวจและผลิตปิโตรเลียม การร่วมลงทุนสร้างโรงไฟฟ้าในต่างประเทศ เช่น ญี่ปุ่น การร่วมลงทุนผลิตเหมืองลิเทียม เพื่อผลิตแบตเตอรี่ลิเทียม เนื่องจากขณะนี้แบตเตอรี่มีความสำคัญกับรถยนต์ไฟฟ้าและโทรศัพท์มือถือ ความต้องการพลังงานทดแทนจึงสูงขึ้น

 

นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า ขณะนี้คณะกรรมการบริษัทฯ อนุมัติให้เข้าซื้อหุ้นในบริษัทขุดเจาะเหมืองริเทียมในสหรัฐฯแล้ว วงเงิน 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ กำลังการผลิต 1.5 ล้านตันต่อปี และในอีก 6 ปีข้างหน้าจะเพิ่มอีก 400,000 ตันต่อปี เพราะเป็นพลังงานแนวใหม่ของโลก อีกทั้งยังแสวงหาโอกาสต่อยอดธุรกิจด้านพลังงานในต่างประเทศ จากเดิมได้เข้าไปลงทุนในบริษัท Nido Petroleu ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในประเทศออสเตรเลีย ปัจจุบันบางจากลงทุนในธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมด้วยการเข้าไปถือหุ้นในบริษัท Nido Petroleum Limited สัดส่วนร้อยละ 82 ผ่านบริษัทย่อย BCP Energy International Pte. Ltd. ซึ่งบริษัท NIDO Petroleum ได้รับสัมปทานเแหล่ง Galoc ประเทศอินโดนิเซีย ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบประมาณ 7,000 บาร์เรลต่อวัน โดย NIDO มีส่วนแบ่งน้ำมันดิบร้อยละ 55.88 หรือประมาณ 4,000 บาร์เรลต่อวัน ขณะนี้อยู่ระหว่างการพัฒนาแหล่ง West Linapacan ในประเทศฟิลิปปินส์ รวมถึงมีแหล่งสัมปทานสำรวจที่มีศักยภาพอื่นๆ ทั้งในประเทศฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย

 

ทั้งนี้ หาก NIDO มีความชำนาญการสำรวจและขุดเจาะแหล่งปิโตรเลียมแล้วจะเสนอเข้าสำรวจแหล่งปิโตรเลียมของไทยในรอบ 21 นี้ด้วย และเตรียมนำบริษัทดังกล่าวกลับเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ของไทย นับว่าเป็นบริษัทลงทุนในต่างประเทศเข้ามาจดทะเบียนในประเทศไทย

 

สำหรับธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน หรือ Green Power Plant ขณะนี้ลงทุนในประเทศไทยรวม 118 เมกะวัตต์ จำหน่ายกระแสให้กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และขยายการลงทุนไปประเทศญี่ปุ่น โดยร่วมลงทุนกับบริษัท เชาว์ อินเตอร์ เนชั่นแนล จำกัด กำลังการผลิต 60 เมกะวัตต์ ซึ่งบางจากฯ ถือหุ้นร้อยละ 70และบริษัท เชาว์ถือหุ้นร้อยละ 30

 

ส่วนกระแสข่าวกรณีที่กระทรวงการคลังต้องการบริหารภาระหนี้ประมาณ 726,000 ล้านบาท ทั้งการออกพันธบัตรระยะยาวและการขายหุ้นรัฐวิสาหกิจ เพื่อหารายได้นำไปชำระหนี้ของรัฐบาลนั้น นายชัยวัฒน์ระบุว่ากระทรวงการคลังเพิ่งจะรับซื้อเพิ่มผ่านกองทุนวายุภักษ์ ทำให้กระทรวงการคลังถือหุ้นในบางจากร้อยละ 10 กองทุนวายุภักษ์ร้อยละ 15 และกองทุนประกันสังคมอีกร้อยละ 12 จึงคาดว่าจะไม่ขายหุ้นบางจากออกไป แต่อาจใช้แนวทางให้กองทุนวายุภักษ์รับซื้อแทนเหมือนย้ายกระเป๋าซ้ายไปกระเป๋าขวา และคงขายหุ้นในบริษัทเอกชนเป็นหุ้นที่เคยไปช่วยเหลือทางการเงินในช่วงปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจ เช่น ทหารไทย เอสโซ่ หรือหุ้นเอกชนบางราย เช่น บุญรอด ซึ่งเคยถือเป็นเวลานานแล้ว

 

ที่มา : สำนักข่าวไทย