BUSINESS

"บาจา" ทุ่มกว่า 200 ล้านบาท ขยายกำลังผลิตเพิ่ม 3 เท่า
POSTED ON 29/10/2557


ธุรกิจอุตสาหกรรม - นายคาร์ลอส กราเซส กรรมการผู้จัดการ บริษัท บาจา (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯ มีนโยบายปรับภาพลักษณ์ครั้งสำคัญ เพื่อเป็นการฉลองครบรอบ 120 ปีของบริษัทฯ และ 85 ปีที่ทำตลาดในไทย โดยนโยบายดังกล่าวบริษัทฯ จะเริ่มในปี 2558 ซึ่งสอดคล้องกับแผนลงทุนปี 2558

 

“แม้เราจะเป็นแบรนด์รองเท้าต่างประเทศ (สาธารณรัฐเช็ก) แต่เราเป็นแบรนด์ที่อยู่คู่คนไทยมากว่า 85 ปี ผ่านร้อนผ่านหนาวและเหตุการณ์ต่างๆ ร่วมกับคนไทยมาตลอด จึงเชื่อมั่นว่าไทยยังเป็นประเทศที่มีศักยภาพและมีโอกาสเติบโตทางธุรกิจสูง มีช่องทางการตลาดใหม่ๆ ให้ได้เล่นตลอดเวลา จึงมีแผนที่จะลงทุนและรุกตลาดรองเท้าในไทยอย่างเต็มที่ ผ่านทั้งช่องทางเดิมและช่องทางใหม่ ด้วยการพัฒนาบุคลากรให้มีคุณภาพและการขยายสาขา เพื่อรองรับการรุกและขยายตลาดที่เพิ่มขึ้นในช่วง 3 ปีข้างหน้า” นายกราเซส กล่าว

 

ด้าน นายอนวัช สังขะทรัพย์ ผู้จัดการฝ่าย การตลาด บริษัท บาจา (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันบาจาแบ่งสัดส่วนสินค้าเป็น 5 ประเภทหลัก คือ รองเท้าสตรี คิดเป็น 38% ของยอดขาย, รองเท้าบุรุษ 23%, รองเท้าเด็ก 6%, รองเท้ากีฬา 6% และรองเท้าประเภทอื่นๆ รวมถึงสินค้าที่ไม่ใช่รองเท้า เช่น เครื่องประดับ 27% โดยมีบาจาเป็นแบรนด์แม่ ที่สัดส่วน 80% ของยอดขาย และมีแบรนด์รองอีก 7 แบรนด์หลัก

 

นายอนวัช เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้เตรียมแผนที่จะลงทุนเกี่ยวกับการขยายกำลังการผลิต ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการศึกษาว่าจะขยายที่บริเวณใด เบื้องต้นคาดการณ์ว่าจะได้ข้อสรุปในช่วงกลางปี 2558 และต้องใช้เงินในการลงทุนประมาณ 150-200 ล้านบาท ซึ่งหากได้ดำเนินการสร้างโรงงานใหม่ขึ้นมาแล้ว จะทำให้กำลังการผลิตรองเท้าของบริษัทขยายตัวเพิ่มขึ้นอีก 3 เท่า จากปัจจุบันผลิตอยู่ที่ 2-3 แสนคู่ต่อปี เพิ่มขึ้นเป็นราว 9 แสนคู่ต่อปี สามารถรองรับได้อีกประมาณ 5-10 ปี โดยเฉพาะตลาดภายในประเทศ

 

ส่วนการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนที่กำลังจะเกิดขึ้น นายอนวัช มองว่าจะมีความต้องการของตลาดขึ้นอีกมาก จึงจำเป็นที่จะต้องมีการขยายกำลังการผลิต ซึ่งโรงงานที่ประเทศไทยยังจะเป็นศูนย์กลางในการส่งออกไปยังหลายประเทศแถบอาเซียน ขณะเดียวกันทางสำนักงานใหญ่ที่สวิตเซอร์แลนด์ยังได้ให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของการขยายธุรกิจ เพราะมีศักยภาพจากการดำเนินธุรกิจมากว่า 85 ปีของเมืองไทย

 

สำหรับแผนในการดำเนินธุรกิจ 3-5 ปีนับจากนี้ ตั้งเป้าที่จะมียอดขายเติบโตอยู่ในระดับตัวเลขสองหลักอย่างต่อเนื่อง โดยในปีหน้าตั้งเป้าที่จะมีอัตราการเติบโตราว 10% ขณะที่ในปี 2559 จะเติบโตอยู่ราว 15% และในปี 2560 บริษัทจะต้องมียอดขายเติบโตอยู่ที่ 20% ซึ่งปัจจัยที่จะทำให้บริษัทสามารถเติบโตได้อย่างก้าวกระโดดได้นั้น จะต้องทำการขยายและปรับปรุงสาขาที่มีอยู่ โดยปัจจุบันมีอยู่ 280 สาขา จะเพิ่มอีก 5 สาขาภายในปีนี้ ขณะที่ในปี 2558 ได้เตรียมงบประมาณที่จะใช้ทั้งในการขยายสาขาพร้อมกับรีโนเวทอีก 121 ล้านบาท จากปีนี้ใช้ไปราว 87 ล้านบาท เพื่อผลักดันให้บริษัทมีสาขาที่ให้บริการครบ 400 สาขา ในปี 2560

 

พร้อมกันนี้บริษัทฯ ยังมองถึงตลาดที่มีศักยภาพรวมถึงกลุ่มสินค้าที่บริษัทฯ ยังไม่ได้ทำตลาด โดยในช่วงไตรมาสแรกของปี 2558 จะทำการนำเข้าสินค้าเด็กอายุ 12-18 ปี ซึ่งเป็นกลุ่มที่บริษัทฯ ยังไม่มีผลิตภัณฑ์เข้าไปทำตลาด รวมถึงยังจะนำสินค้าพรีเมียมเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยอีกด้วย โดยในปีนี้คาดว่าจะมียอดขายเติบโตราวๆ 4% ซึ่งลดลงจากอัตราปกติ 10-15% เนื่องจากช่วงต้นปีเจอปัญหาการเมือง

 

สำหรับยอดขายของบริษัทฯ ในช่วง 3 ไตรมาสที่ผ่านมาของปี 2557 แม้จะได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่องจากปัจจัยลบต่างๆ อาทิ การชุมนุมทางการเมือง, ยอดการผลิตที่ลดลงจากเหตุไฟไหม้โรงงานเมื่อกลางปี 2556 แต่ยังสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในไตรมาส 3 บริษัทฯ มีการเติบโตขึ้น 8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันกับปี 2556 เป็นผลมาจากนโยบายการปรับภาพลักษณ์สินค้าให้เป็นทันสมัยขึ้น รวมถึงการปรับดีไซน์ร้านให้ทันสมัยเป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก ส่งผลให้เพิ่มฐานลูกค้าใหม่ๆ ได้มากขึ้น และยังรวมถึงปัจจัยการขยายสาขา โดยในปี 2557 บริษัทฯ สามารถขยายสาขาได้เพิ่มขึ้นถึง 26 สาขา จากที่ตั้งเป้าไว้เพียง 20 สาขา 21