BUSINESS

SSI Schaefer เชื่อ คลังสินค้าในไทยยังโต ตั้งเป้า 3 ปี รายได้แตะพันล้านบาท
POSTED ON 10/09/2557


 

ธุรกิจอุตสาหกรรม - นายสราวุธ เล้าประเสริฐ ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท เอสเอสไอ เชฟเฟอร์ ซิสเต็มส์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (SSI Schaefer Systems International) ผู้นำตลาดด้านระบบจัดการ จัดเก็บ การกระจายสินค้าในคลังสินค้า ให้บริการครบวงจร สัญชาติเยอรมัน เปิดเผยว่า จากภาวะเศรษฐกิจที่กลับมาฟื้นตัวในช่วง 6 เดือนหลังของปีนี้ ส่งผลให้ภาคเอกชนมีการลงทุนก่อสร้างและขยายคลังสินค้าอย่างต่อเนื่อง เป็นผลดีมายังบริษัทฯ ที่จะเข้าไปรับงานในการวางระบบบริหารจัดการคลังสินค้าได้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการกำหนดแนวทาง วางแผน ออกแบบ จัดเก็บ เบิกจ่าย ขนส่ง การลำเลียงคลังสินค้าและคลังสินค้าอัตโนมัติ รวมถึงการติดตั้งชิ้นงานในคลังสินค้าได้อย่างครบวงจร

 

โดยปีนี้บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้จากการรับงานไว้ที่ประมาณ 800 พันล้านบาท เติบโตจากปีก่อนประมาณ 10% ซึ่งสัดส่วนรายได้จะมาจากลูกค้าเดิมที่ขยายงานหรือปรับปรุงของเก่าที่มีอยู่ประมาณ 2,000 ราย ที่ครอบคลุมทุกสาขา ไม่ว่าจะเป็นร้านสะดวกซื้อ ซูเปอร์มาร์เก็ต แม็คโคร หรือโมเดิร์นเทรดต่างๆ รวมถึงคลังสินค้าโรงงานอุตสาหกรรม เป็นต้น มีสัดส่วนทำรายได้ประมาณ 30% และการเจาะตลาดจากลูกค้าใหม่ที่มีการก่อสร้างคลังสินค้าเพิ่มขึ้นปีละประมาณ 50 ราย หรือคิดเป็นสัดส่วนของรายได้ประมาณ 30%

 

สำหรับในปีนี้ลูกค้าใหม่ที่จะเข้ามา บริษัทฯ จะเจาะตลาดไปยังกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากมีการเติบโตค่อนข้างมาก ทำให้มีการใช้เฟอร์นิเจอร์เพื่อการตกแต่งที่อยู่อาศัยตามมากเช่นกัน ซึ่งจะสะท้อนไปถึงโรงงานผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์ต้องขยายงานหรือการสร้างคลังสินค้าเพื่อเก็บเฟอร์นิเจอร์เพิ่มมากขึ้น รวมถึงกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ที่ยังเติบโตอยู่ ทางผู้ผลิตจึงยังมีความจำเป็นที่จะต้องสร้างคลังเก็บสินค้าเพิ่มขึ้นด้วย และธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่มีการสต็อกสินค้าไว้ในคลังสินค้าเพื่อรอการจำหน่าย เป็นต้น

 

โดยบริษัทฯ ตั้งเป้าหมายไว้ภายใน 3 ปี (2558-2560) บริษัทฯ จะมีรายได้เพิ่มขึ้นมาประมาณ 1,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นการเติบโตตามจำนวนลูกค้าที่มีการขยายงาน และการกระจายการลงทุนออกไปตั้งคลังสินค้าตามหัวเมืองใหญ่ๆ มากขึ้น ซึ่งปัจจุบันมีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ประมาณ 40% จากตลาดรวมมีประมาณ 3,000 ล้านบาท โดยยังไม่รวมกลุ่มที่ต้องใช้เครื่องจักรอัตโนมัติประเภทเครนยกสินค้าจะมีมูลค่ารวมกว่า 10,000 ล้านบาท

 

นายสราวุธ กล่าวอีกว่า สำหรับจุดแข็งของบริษัทฯ ที่โดดเด่นคือสามารถดำเนินงานได้ตามความต้องการของลูกค้าได้อย่างครบวงจร ตลอดจนการดูแลหลังบริการ อีกทั้งชิ้นงาน ไม่ว่าจะเป็นชั้นวางของ ระบบลำเลียงสายพาน เครนอัตโนมัติ ตู้เก็บของ หรือวัสดุต่างๆ ที่มีความจำเป็นต้องใช้ในการจัดเก็บและลำเลียงสินค้า บริษัทฯ จะสั่งตรงมาจากโรงงานของบริษัทแม่ที่ตั้งอยู่ในสหภาพยุโรปและมาเลเซียทั้งหมด ทำให้ชิ้นงานมีคุณภาพสูงและมีความทันสมัย

 

ส่วนจะบุกตลาดอาเซียนนั้น บริษัทฯ มองว่าในช่วง 4-5 ปี ข้างหน้ายังไม่มีความจำเป็น เนื่องจากประเทศเพื่อนบ้านยังต้องอาศัยการเติบโตทางเศรษฐกิจ การที่จะมีคลังสินค้ากระจายอยู่ในพื้นที่ต้องอาศัยการเติบโตทางเศรษฐกิจ มีโครงสร้างพื้นฐานที่ดีพอในการเอื้อต่อนักลงทุนเข้าไปลงทุน ซึ่งการจะออกไปเจาะตลาดได้ บริษัทฯ ก็ต้องอาศัยฐานลูกค้าเดิมที่จะเข้าไปลงทุน เมื่อลูกค้าเดิมยังไม่มีการขยายงานออกไปประเทศเพื่อนบ้าน บริษัทฯ ก็ยังไม่สามารถที่จะเข้าไปรับงานในการวางระบบบริหารจัดการคลังสินค้าให้ได้