ธุรกิจอุตสาหกรรม - นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ รองกรรมการผู้จัดการบริหาร สายธุรกิจการค้าในประเทศ บริษัท ซีพีเอฟ เทรดดิ้ง จำกัด กล่าวว่า ในช่วงจากนี้ถึงปี 2558 ทั้งปี ผลการดำเนินงานของซีพีเอฟยังคงสดใส เพราะปัญหาเรื่องความไม่ปลอดภัยทางด้านอาหารของต่างประเทศ ส่งผลให้ในประเทศผู้นำเข้ามีความกังวลด้านคุณภาพของสินค้าและหันมาสั่งซื้อจากไทยมากขึ้น

ทั้งนี้ คาดว่า ผลประกอบการทั้งปี 2557 จะโตประมาณ 15% หรือรายได้รวมทั้งปีประมาณ 4.2 แสนล้านบาท และในปี 2558 คาดรายได้รวมจะโตจากปี 2557 ประมาณ 16-17% หรือรายได้รวมประมาณ 4.7-4.8 แสนล้านบาท จากนโยบายของรัฐบาลที่มีผลทางภาคปฏิบัติมากขึ้น มีเงินเข้ามาในระบบเศรษฐกิจ ทั้งจากการปรับเงินเดือนข้าราชการ การกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการสร้างโครงสร้างพื้นฐานตามนโยบายรัฐบาล

สำหรับโครงสร้างรายได้ของซีพีเอฟ แบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ (1) รายได้จากยอดขายในประเทศ (2) รายได้จากการส่งออก และ (3) รายได้จากเงินลงทุน โดย 6 เดือนแรกของปี 2557 รายได้จากยอดขายในประเทศเติบโตประมาณ 12% รายได้จากเงินลงทุนเติบโตประมาณ 18% ส่วนรายได้จากการส่งออกปีนี้ยังติดลบ 10% ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตที่ติดลบมาตั้งแต่ปี 2555 หลังจากกุ้งซึ่งเป็นสินค้าสำคัญของไทยมีโรคระบาดตายด่วน

แต่ในปี 2558 คาดว่ารายได้จากการลงทุนในต่างประเทศของซีพีเอฟจะเติบโต 20% เนื่องจากแต่ละประเทศให้ความเชื่อมั่นต่อสินค้าซีพีเอฟมากขึ้น ส่วนรายได้ในประเทศคาดเติบโต 10% และรายได้จากการส่งออกคาดว่าจะกลับมาเป็นบวกอีกครั้ง

นายประสิทธิ์ กล่าวด้วยว่า "ปัจจุบันซีพีเอฟมีขนาดใหญ่เกินไปที่จะเติบโตจากยอดขายภายในประเทศ ดังนั้น ต่อไปนี้คงเดินหน้าหาพันธมิตรต่างชาติควบรวมกิจการเพื่อเพิ่มช่องทางการขาย สร้างรายได้ให้เติบโตแบบก้าวกระโดด" 

"ซีพีเอฟให้ความสำคัญกับการลดต้นทุนการผลิต ปรับปรุงการผลิต มีนวัตกรรมเพื่อ นำบายโปรดักต์กลับมาใช้ใหม่ โดยไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม ที่ผ่านมาราคาสินค้าสูงกว่าคู่แข่งประมาณ 10-20% เพราะมีคุณภาพที่ดีกว่า แต่เมื่อปัจจุบันมีกระแสความไม่ปลอดภัยทางด้านอาหาร ทำให้ผู้นำเข้าและผู้บริโภคหันมาซื้อของซีพีเอฟมากขึ้นราคาแพงจึงไม่เป็นอุปสรรค" นายประสิทธิ์ กล่าว