BUSINESS

PTT GC เตรียมปรับแผนปิโตรเคมี 6 หมื่นล้านบาท
POSTED ON 18/04/2557


ธุรกิจอุตสาหกรรม - นายบวร วงศ์สินอุดม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีที โกลบอลเคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ พีทีทีจีซี เปิดเผยว่า ภาวะเศรษฐกิจของประเทศที่ชะลอตัว จากปัญหาทางการเมืองที่เกิดขึ้นและยังไม่สามารถประเมินได้ว่าจะยุติลงได้เมื่อใด และหากยังยืดเยื้อต่อเนื่องยาวอีก 2 เดือน ทางบริษัทฯ ก็เตรียมที่จะทบทวนแผนการลงทุนใหม่ เพื่อบริหารความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น

 

"ขณะนี้บริษัทฯ ยืนยันว่าจะยังไม่ปรับแผนการลงทุนด้านปิโตรเคมีที่จะเกิดขึ้นใหม่ เพราะต้องการรอดูความชัดเจนจากปัญหาทางการเมืองก่อน ปัจจุบันมีโครงการที่รอการอนุมัติส่งเสริมการลงทุนจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอ อาทิ โครงการผลิตพาราไซลีน ขนาดกำลังผลิต 1 ล้านตันต่อปี มูลค่า 4.8 หมื่นล้านบาท โครงการส่วนขยายกำลังการผลิตเม็ดพลาสติกโพลิเอทิลีนความหนาแน่นต่ำเชิงเส้น หรือ LLDPE ขนาด 3 แสนตันต่อปี เงินลงทุน 8.70 พันล้านบาท และโครงการขยายกำลังผลิตเอทิลีน ไกลคอล อีก 9 หมื่นตันต่อปี เงินลงทุน 3 พันล้านบาท รวมมูลค่าลงทุน 5.97 หมื่นล้านบาท" นายบวร กล่าว

 

ทั้งนี้ เชื่อว่าปัญหาทางการเมืองจะมีข้อยุติโดยเร็ว รวมทั้งหน่วยงานราชการได้เริ่มกลับมาทำงานได้ตามปกติเกือบหมดแล้ว ดังนั้น คาดว่าเมื่อมีการจัดตั้งคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บอร์ดบีโอไอ หลังเทศกาลสงกรานต์ได้แล้ว น่าจะพิจารณาอนุมัติโครงการได้ในเร็วๆ นี้ ซึ่งจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนได้ทางหนึ่ง

 

อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการบริหารความเสี่ยงในภาวะที่กำลังซื้อในประเทศหดตัวลง บริษัทฯ ได้กระจายความเสี่ยงด้วยการขยายตลาดในต่างประเทศเพิ่มขึ้น เพราะเศรษฐกิจในประเทศที่ชะลอตัวลงให้ความต้องการผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีไม่เพิ่มขึ้นมากนัก แต่บริษัทฯ คงไม่ได้รับผลกระทบมากนัก เนื่องจากผลิตภัณฑ์ของพีทีทีจีซีจะเป็นวัตถุดิบในการผลิตสินค้าที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน หรือเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องใช้

 

นายบวร กล่าวอีกว่า ส่วนความคืบหน้าโครงการปิโตรเคมี คอมเพล็กซ์ ที่บาลองกัน ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นการร่วมทุนกับเปอร์ตามินา ล่าสุดอยู่ในขั้นตอนการศึกษาและประสานงานกับเปอร์ตามินาในการทำโครงการปิโตรเคมีแบบครบวงจรตั้งแต่โรงกลั่นน้ำมันต่อยอดไปยังโครงการปิโตรเคมีต้นน้ำและปลายน้ำ ซึ่งตามแผนเดิมเปอร์ตามินาจะขยายโรงกลั่นน้ำมันจาก 1.25 แสนบาร์เรลต่อวัน เป็น 1.8 แสนตันต่อวัน แต่พีทีทีจีซีเห็นว่าหากขยายแล้วก็ควรขยายเพิ่มเป็น 3 แสนบาร์เรลต่อวัน เพื่อที่จะได้วัตถุดิบเพียงพอป้อนโครงการร่วมลงทุนปิโตรเคมี คอมเพล็กซ์ ทำให้ผลตอบแทนการลงทุน หรือไออาร์อาร์ ดีขึ้นมากกว่า 15% และยังช่วยลดการนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปลงด้วย

 

อย่างไรก็ตาม พีทีทีจีซียังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะเป็นผู้ร่วมทุนกับเปอร์ตามินา เพื่อลงทุนโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ดังกล่าวหรือไม่ อาจลงทุนผ่านกลุ่มบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรืออาจจะให้บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ร่วมทุน ซึ่งเรื่องนี้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเปอร์ตามินาด้วย ทั้งนี้ หากบริษัทร่วมลงทุนในโครงการดังกล่าว คาดว่าจะใช้เงินลงทุนทั้งโครงการปิโตรเคมี คอมเพล็กซ์ มากกว่า 4-5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คาดว่าผลการศึกษาโครงการจะแล้วเสร็จภายในกลางปีนี้

 

"แม้ปีนี้มีการประเมินเศรษฐกิจชะลอตัวแต่ในขณะนี้ยอดสั่งซื้อสินค้าไม่ได้ลดลง ขณะเดียวกันโรงกลั่นเดินเครื่องจักรเต็มที่ เพราะทดแทนโรงกลั่นอื่นที่ปิดซ่อมบำรุง ทำให้ลดการส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปลง แต่หันมาจำหน่ายในประเทศเพิ่มขึ้น ดังนั้น ปัญหาเศรษฐกิจยังไม่น่าเป็นห่วง กังวลแต่เรื่องประเทศอาจถูกลดอันดับเครดิตเรตติ้ง จะกระทบต้นทุนทางการเงินของลูกค้าและธุรกิจทั้งระบบ อย่างไรก็ตาม คาดว่าผลประกอบการไตรมาส 1 ปีนี้จะลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มาจากการหยุดซ่อมบำรุงหลายโรงงานสายโอเลฟินส์ เพื่อเตรียมพร้อมเดินเครื่องหลังโรงแยกก๊าซหน่วยที่ 5 ปตท.ที่กลับมาเดินเครื่องได้เต็มที่ ดังนั้น คาดว่าอีบิตดาปีนี้จะโตไม่ต่ำกว่า 10% เมื่อเทียบกับปีก่อน" นายบวร กล่าว