WORLDWIDE

ความต้องการน้ำมันของสหรัฐฯ ปี 2013 แซงหน้าจีนครั้งแรกในรอบ 15 ปี
POSTED ON 22/01/2557


ข่าวต่างประเทศ - สำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) ซึ่งมีฐานอยู่ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เผยข้อมูลล่าสุดเมื่อวันที่ 21 ม.ค.2557 ที่ผ่านมา โดยระบุว่า ในปี 2013 ที่ผ่านมา ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 15 ปี ที่ปริมาณความต้องการน้ำมันของสหรัฐฯ มีการเติบโตจนแซงหน้า สาธารณรัฐประชาชนจีน

      

ข้อมูลล่าสุดของไออีเอระบุว่า นับตั้งแต่ปี ค.ศ.1999 เป็นต้นมา จีน ครองตำแหน่งประเทศที่มีความต้องการทรัพยากรน้ำมันสูงที่สุดในโลกมาโดยตลอด แต่ในปี 2013 ที่เพิ่งผ่านพ้นไป ปริมาณความต้องการน้ำมันของสหรัฐฯ กลับแซงหน้าจีนได้เป็นครั้งแรก

      

โดยในปี 2013 ปริมาณความต้องการน้ำมันในสหรัฐฯเพิ่มขึ้นราว 390,000 บาร์เรลต่อวัน ขณะที่ปริมาณความต้องการบริโภคน้ำมันของจีนในปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นราว 295,000 บาร์เรลต่อวัน ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดในรอบ 6 ปี

      

ไออีเอ ระบุว่า การปฏิวัติหินนํ้ามัน (shale oil revolution) ในสหรัฐฯ ซึ่งหมายถึง การที่สหรัฐฯ สามารถใช้เทคโนโลยีสกัดเอาน้ำมันดิบจำนวนมหาศาลที่ถูกกักเก็บอยู่ในชั้นหินออกมาใช้ประโยชน์ได้ในเชิงพาณิชย์ คือ ต้นเหตุสำคัญที่กระตุ้นให้ปริมาณความต้องการใช้น้ำมันในเมืองลุงแซมพุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์

      

และในอนาคต ไออีเอ ชี้ว่า สหรัฐฯ ซึ่งมีศักยภาพในการผลิตน้ำมันได้มากขึ้น จะเปลี่ยนสถานะจากการเป็นผู้นำเข้าน้ำมันรายใหญ่ของโลก มาเป็น “ผู้ผลิต-ผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่อันดับ 1” แซงหน้าเจ้าของตำแหน่งเดิมอย่างซาอุดีอาระเบียได้ก่อนปี 2020 อย่างแน่นอน

      

ด้าน อองตวน อาล์ฟฟ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยตลาดน้ำมันของไออีเอ ออกมาเปิดเผยว่า การเพิ่มขึ้นของความต้องการบริโภคน้ำมันในสหรัฐฯ เป็นสัญญาณที่บ่งชี้ว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ได้ชื่อว่ามีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกกำลังฟื้นตัว และอาจเป็นการฟื้นตัวในอัตราที่รวดเร็วกว่าที่หลายฝ่ายคาดคิด

      

ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยตลาดน้ำมันของไออีเอยังคาดการณ์ว่า แนวโน้มความต้องการน้ำมันของทั่วโลกในปี 2014 นี้ อาจส่งผลให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นเกือบ 1 เปอร์เซ็นต์ มาอยู่ที่ระดับสูงกว่า 107 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล