VEHICLES

พพ. นำ Big Data ช่วยลดการใช้น้ำมันในรถยนต์ส่วนบุคคล
POSTED ON 13/10/2563


 

 

นายชัยยุทธ สารพา ผู้อำนวยการกองส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) กระทรวงพลังงาน กล่าวว่า กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) กระทรวงพลังงาน มีเป้าหมายที่จะลดความเข้มข้นการใช้พลังงาน (Energy Intensity: EI) ลงร้อยละ 30 ภายในปี พ.ศ.2579 ตามแผนอนุรักษ์พลังงาน (พ.ศ.2558-2579) โดยได้ให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์พลังงานในภาคคมนาคมขนส่ง เพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าว ตั้งแต่ปี พ.ศ.2559 เป็นต้นมา รัฐบาลได้เปลี่ยนรูปแบบการเก็บภาษีสรรพสามิตรถยนต์ตามค่าการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และมีการนำ Eco Sticker มาใช้เพื่อช่วยให้ผู้ใช้รถยนต์ทราบว่า รถยนต์กินน้ำมันกี่ลิตร ต่อการวิ่งในระยะทาง 100 กิโลเมตร ซึ่งเป็นข้อมูลที่ผู้ใช้รถยนต์สามารถนำมาเปรียบเทียบประสิทธิภาพการใช้น้ำมันของรถยนต์รุ่นต่างๆ ได้

Eco Sticker จะแสดงข้อมูลประสิทธิภาพการใช้น้ำมันที่สามารถช่วยผู้ใช้รถยนต์ตัดสินใจเลือกซื้อรถยนต์ โดยการเลือกซื้อรถยนต์ที่ประหยัดพลังงาน อาจช่วยผู้ขับขี่รถยนต์ประหยัดค่าน้ำมันได้สูงสุดถึง 60,000 บาท ถ้าผู้ใช้รถยนต์เลือกซื้อรถรุ่นที่ประหยัดน้ำมันที่สุดที่มีอยู่ในท้องตลาดแทนรถใหญ่ที่กินน้ำมันมากที่สุด

คาโรลิน คาโพเน่ ผู้อำนวยการโครงการภาคการคมนาคมประจำประเทศไทย องค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (GIZ) กล่าวว่า “ข้อจำกัดของ Eco Sticker คือ ค่าการใช้น้ำมันของรถรุ่นต่างๆ ที่รายงานไว้นั้นได้จากการทดสอบในห้องทดลอง ซึ่งมาตรฐานการทดสอบประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิงในห้องทดลอง ไม่สะท้อนสภาวะการขับขี่จริงในปัจจุบัน ตัวอย่างเช่น การทดสอบในห้องทดลองมีการกำหนดค่าความเร็วที่ไม่ได้ตรงกับสภาวะการเดินทางจริงของการขับรถในเมืองในปัจจุบัน ทำให้ไม่สามารถสะท้อนอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันจากการขับรถยนต์ในช่วงที่มีการจราจรติดขัด ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการสิ้นเปลืองน้ำมันของการขับรถยนต์ในเมือง"

นอกจากที่กล่าวมาข้างต้น ยังมีอีกหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อการสิ้นเปลืองน้ำมันของรถยนต์ที่ไม่สามารถทดสอบในห้องทดลองได้ เช่น พฤติกรรมการขับรถของผู้ขับขี่บนท้องถนน การบำรุงรักษาเครื่องยนต์ และการใช้งานเครื่องปรับอากาศขณะขับรถ คาโรลิน กล่าวเพิ่มเติม

ทั้งนี้งานวิจัยจาก International Council of Clean Transport (ICCT) ได้ศึกษาความแตกต่างระหว่างอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันจากสภาวะการขับขี่จริงกับอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันที่มาจากการทดสอบ พบว่าตลอดช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ทั้งสองค่ามีความแตกต่างกันมากขึ้นเรื่อยๆ และจากการเก็บข้อมูลในปีพ.ศ. 2562 แสดงให้เห็นว่าค่าการใช้น้ำมันที่ได้จากสภาวะการขับขี่จริงและค่าที่ได้จากห้องทดลองนั้นมีความแตกต่างกันมากถึงร้อยละ 50 โดยประมาณ (จากข้อมูลของการใช้น้ำมันของรถยนต์ในทวีปยุโรปในปีพ.ศ. 2543 ทั้งสองค่านี้มีความแตกต่างกันเพียงร้อยละ 10 เท่านั้น) นอกจากนี้ ค่าการปล่อยสารมลพิษ เช่น ก๊าซไนโตรเจนไดออกไซด์ (NOx) หรือ ก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากการเผาผลาญน้ำมันเชื้อเพลิงขณะขับขี่จริงก็จะมีค่ามากกว่าที่ระบุไว้จากการทดสอบในห้องทดลองอีกด้วย สำหรับผู้ใช้รถยนต์ความแตกต่างของทั้งสองค่านี้หมายถึงค่าใช้จ่ายการเติมน้ำมันที่มากกว่าที่คาดการณ์ไว้ และสำหรับภาครัฐ จะหมายถึง ความท้าทายในการกำหนดนโยบายให้ตรงกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริง เช่น มาตรการสร้างแรงจูงใจเพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ