VEHICLES

DYSON เลือกสิงคโปร์ตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้า EV
POSTED ON 29/10/2561


Tags : อุตสาหกรรม, ข่าวอุตสาหกรรม, สื่ออุตสาหกรรม, โรงงาน, เครื่องจักรกล, การผลิต, พลังงาน, โลจิสติกส์, Industry, Industrial, Industrial News, Industrial Media, Factory, Machinery, Machine, Manufacturing

 

 

Dyson บริษัทผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีชื่อเสียงเรื่องเครื่องดูดฝุ่นจากอังกฤษ เคยประกาศก่อนหน้าว่า พวกเขาต้องการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า บัดนี้มีความคืบหน้าจากทางการ หลังบริษัทได้ประกาศเลือกสิงคโปร์เป็นที่ตั้งของ โรงงานผลิตรถยนต์คันแรกของพวกเขา ซึ่งถือเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจ เนื่องจากประเทศดังกล่าวมีต้นทุนการผลิตที่ค่อนข้างสูง

 

นายจิม โรแวน (Jim Rowan) ซีอีโอของ Dyson ระบุว่า แม้ว่าสิงคโปร์จะเป็นประเทศที่ใช้ต้นทุนมาก แต่มีอัตราการเติบโตสูง เพียบพร้อมด้วยระบบขนส่งและแรงงานมากฝีมือ ทำให้นี่เป็นสถานที่ที่เหมาะสมในการผลิต เครื่องจักรคุณภาพสูง และมากด้วยเทคโนโลยี รวมไปถึงรถยนต์ไฟฟ้าของเราด้วย ส่วนกำหนดการสร้างโรงงานคาดว่าจะเสร็จสิ้นภายในปี 2020

 

ด้านหนังสือพิมพ์บลูมเบิร์กได้วิเคราะห์การตัดสินใจเลือกสถานที่ตั้งโรงงานของ Dyson ว่า สิงคโปร์ไม่ใช่เป้าหมายตลาดหลักของบริษัทฯ เนื่องจากมีขนาดเล็กและภาษีรถยนต์สูงมาก แต่เป็นเรื่องของทักษะแรงงาน และการคุ้มครองสิทธิบัตรที่เข้มงวดมากกว่า อีกทั้งยังมีสัญญาค้าขายเสรีกับประเทศจีน ผู้ที่เป็นตลาดหลักของบริษัทรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลก จึงไม่น่าสงสัยเลยว่าทำไม Dyson จึงเลือกที่นี่

 

การขยายตลาดมาผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของ Dyson มีแผนการลงทุนมูลค่า 2,500 ล้านปอนด์ (ราว 105,000 ล้านบาท) พร้อมได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล โดยตอนนี้พวกเขาอยู่ระหว่างการก่อสร้างศูนย์วิจัยและพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าในประเทศอังกฤษ พร้อมว่าจ้างทีมงานเฉพาะด้านมาแล้ว 400 ตำแหน่ง และยังมีเป้าหมายจ้างคนเพิ่มอีก 300 ตำแหน่ง ก่อนถึงกำหนดการขายจริง

 

แม้ Dyson จะยังไม่เปิดเผยว่าพวกเขาจะผลิตรถยนต์อะไรบ้าง แต่ Autocar รายงานว่า ทาง Dyson มีแผนผลิตรถยนต์ 3 รุ่นด้วยกัน โดยวางตำแหน่งทางการตลาดระดับพรีเมี่ยม เช่นเดียวกับเครื่องใช้ไฟฟ้าของตน ส่วนใหญ่เป็นรถยนต์ SUV แต่ไม่มีรถสปอร์ต โดยรถยนต์หลายรุ่นอาจทำความเร็วได้เกิน 160 กิโลเมตร/ชั่วโมง และคาดว่าจะได้ชมรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกของค่ายในปี 2019

 

สำหรับการขายจริงถูกกำหนดเอาไว้ในปี 2021 วางตำแหน่งไว้เป็นรถยนต์ที่ผลิตขึ้นมาต่ำกว่า 10,000 คัน ทั้งยังราคาไม่ถูกด้วย ส่วนอีก 2 รุ่นที่เหลือซึ่งตามมาภายหลัง จะมีความเป็นรถยนต์ mass-production car มากกว่า และทั้งหมดจะทำตลาดภายใต้แบรนด์ Dyson เองด้วย