SPECIAL FEATURES

รายงาน Boom and Bust 2017 เผย การพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินทั่วโลกลดลง
POSTED ON 05/04/2560


Tags : อุตสาหกรรม, ข่าวอุตสาหกรรม, สื่ออุตสาหกรรม, โรงงาน, เครื่องจักรกล, การผลิต, พลังงาน, โลจิสติกส์, Industry, Industrial, Industrial News, Industrial Media, Factory, Machinery, Machine, Manufacturing, Energy, Logistics

 

 

หลังจากที่โรงไฟฟ้าถ่านหินแห่งที่ 250 ในสหรัฐอเมริกาถูกปลดระวางไปเมื่อเร็ว ๆ นี้ เซียร่าคลับ (Sierra Club) กรีนพีซ และโคลสวอร์ม (CoalSwarm) ได้เปิดเผยผลสำรวจประจำปีฉบับที่ 3 ว่าด้วยโรงไฟฟ้าถ่านหินทั่วโลกซึ่งอยู่ในแผนการพัฒนา ในรายงาน Boom and Bust 2017 : Tracking The Global Coal Plant Pipeline โดยระบุว่าโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินทั่วโลกที่กำลังอยู่ในขั้นตอนการก่อสร้างนั้น ลดลงร้อยละ 62 กิจกรรมก่อนการดำเนินการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินทั่วโลกลดลงร้อยละ 48 และโรงไฟฟ้าถ่านหินแห่งใหม่ที่ได้รับอนุญาตในจีนลดลงถึงร้อยละ 85

 

โดยรวมแล้ว โครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินที่อยู่ในขั้นตอนการพัฒนาลดลงอย่างฮวบฮาบในปี พ.ศ.2559 อันเนื่องมาจากการ ปรับเปลี่ยนนโยบายของประเทศในเอเชีย รวมถึงการที่รัฐบาลกลางของจีนจำกัดการขยายตัวโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินแห่งใหม่อย่างมาก และการตัดงบประมาณผู้สนับสนุนโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินของอินเดีย ผลคือ การก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินในจีนและอินเดียต้องหยุดชะงักกว่า 100 โครงการ

 

นอกจากการลดลงของการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินแห่งใหม่แล้ว รายงานฉบับนี้ยังพบว่าในช่วง 2 ปีที่ผ่านมามีการปลดระวางโรงไฟฟ้าถ่านหินซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในสหภาพยุโรปในและสหรัฐอเมริกาโดยมีกำลังผลิตรวมกัน 64 กิกะวัตต์ เทียบเท่ากับโรงไฟฟ้าถ่านหินขนาดใหญ่ 120 หน่วย (หน่วยผลิตของโรงไฟฟ้าถ่านหินโดยทั่วไปอยู่ที่ขนาด 500 เมกะวัตต์ หรือ 0.5 กิกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าถ่านหินส่วนใหญ่จะประกอบด้วยหน่วยผลิต 2 หน่วยหรือมากกว่านั้น)

 

จากข้อมูลในรายงาน การชะลอโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินทั่วโลกซึ่งอยู่ในแผนพัฒนา และการปลดระวางโรงไฟฟ้าถ่านหินเก่าที่มีมากขึ้น ได้นำไปสู่โอกาสที่เป็นไปได้ของการจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยผิวโลก ไม่ให้เกิน 2 องศาเซลเซียส เทียบกับยุคก่อนอุตสาหกรรม ทำให้ประเทศต่าง ๆ ต้องยกระดับแผนปฏิบัติการลดโลกร้อนต่อไป

 

เท็ด เนซ ผู้อำนวยการโคลสวอร์ม กล่าวว่า "นี่เป็นปีที่วุ่นวายและไม่ธรรมดา ไม่ใช่เรื่องปกติที่เราจะเห็นการหยุดชะงักก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินในหลายพื้นที่ แต่รัฐบาลกลางของจีนและธนาคารในอินเดียต่างตระหนักแล้วว่าการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินที่มากเกินไปนั้นทำให้สูญเสียทรัพยากรอย่างมาก ในขณะเดียวกันการเปลี่ยนผ่านจากเชื้อเพลิงฟอสซิลไปสู่พลังงานหมุนเวียนที่สะอาดจะสร้างผลดีด้านสุขภาพ ความมั่นคงทางสภาพภูมิอากาศและการจ้างงาน และจากข้อบ่งชี้ทั้งหลาย การเปลี่ยนผ่านดังกล่าวนี้ไม่อาจหยุดยั้งลงได้"

 

"การขยายตัวของพลังงานหมุนเวียนที่สะอาดและการลดลงของแผนการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินใหม่เป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ว่าถ่านหินไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของผู้คนและสิ่งแวดล้อม แต่ยังทำให้เรื่องที่สำคัญถูกละเลย" นิโคล จิโอ ผู้ประสานงานรณรงค์อาวุโส ฝ่ายงานรณรงค์ด้านพลังงานและสภาพภูมิอากาศ เซียร่าคลับ กล่าว "พลังงานหมุนเวียนที่สะอาดเป็นที่ต้องการของการลงทุน แม้ว่าจะมีวาทะของของ ประธานาธิบดีโดนัล ทรัมป์ มากมายแค่ไหน ก็ไม่สามารถยุติแนวโน้มขาลงของถ่านหินในสหรัฐอเมริกาและในทั่วโลก"

 

ลอรี มิลลิเวียทา ผู้ประสานงานรณรงค์อาวุโสด้านถ่านหินและมลพิษทางอากาศ กรีนพีซ กล่าวว่า "ปี 2559 นับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ จีนได้หยุดโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินใหม่ หลังจากที่มีการเพิ่มขึ้นของพลังงานหมุนเวียนที่สะอาด และมีพลังงานเพิ่มเติมจากแหล่งเชื้อเพลิงที่มิใช่ฟอสซิลตั้งแต่ปี 2556 ทำให้ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินใหม่ การปิดตัวของโรงไฟฟ้าถ่านหินเก่าได้ช่วยให้ลดการปล่อยก๊าซโดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกาและในสหราชอาณาจักร ในขณะที่เบลเยียมและมณฑลออนแทริโอในแคนาดานั้นไม่มีไฟฟ้าที่ผลิตมาจากโรงไฟฟ้าถ่านหินแล้ว ส่วนประเทศในกลุ่ม G8 ได้ประกาศขีดเส้นตายที่จะลด ละ เลิกถ่านหิน"

 

รายงานฉบับนี้ยังระบุถึงญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินโดนีเซีย เวียดนาม และตุรกี ว่ายังคงห่างไกลจากการพัฒนาพลังงานหมุนเวียนให้ทัดเทียมกับประเทศอื่น ๆ และประเทศดังกล่าวยังเดินหน้าผลักดันโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินอยู่

 

สามารถดาวน์โหลดรายงาน Boom and Bust 2017: Tracking The Global Coal Plant Pipeline ได้ที่ http://endcoal.org/wp-content/uploads/2017/03/BoomBust2017-English-Final.pdf