SPECIAL FEATURES

ระบบ RFID ช่วยลดต้นทุนการจัดเก็บสินค้าของแอร์บัสได้กว่า 20%
POSTED ON 22/03/2559


 

ฟูจิตสึ เผยกรณีศึกษาจาก บริษัทแอร์บัส เอสเอเอส (Airbus S.A.S.) ซึ่งเป็นผู้นำด้านการนำเทคโนโลยี RFID มาใช้งานในภาคส่วนการผลิตในโครงการริเริ่มที่ทำให้เห็นมอบข้อมูลห่วงโซ่คุณค่า (Value chain initiative) ซึ่งสร้างประโยชน์ให้กับธุรกิจของบริษัทฯ เป็นอย่างมาก การนำเทคโนโลยีการระบุข้อมูลแบบอัตโนมัติ (Automated Identification Technology - AIT) จากฟูจิตสึมาใช้นั้น ทำให้บริษัทแอร์บัสสามารถแปลงกระบวนการอุตสาหกรรมและชิ้นส่วนอากาศยานทางกายภาพเป็นระบบดิจิตอล พร้อมกับช่วยกระชับวงจรการผลิตเครื่องบินแบบเต็มรูปแบบจากเดิมผลิตในบริษัทเป็นการขยายการปฏิบัติการระหว่างหน่วยงานซึ่งทำให้บริษัทฯ มีความเข้าใจธุรกิจสำคัญๆ อย่างลึกซึ้งในขณะที่ปฏิบัติงานด้วย

 

นายคาร์โล เค.ไนแซม (Mr.Carlo K. Nizam) Head of Value Chain Visibility and RFID ของแอร์บัส กล่าวว่า "บริษัทแอร์บัสเหมือนกับธุรกิจอื่นทั่วไปตรงที่มีการใช้ระบบไอทีเพื่อช่วยเหลือการปฏิบัติการด้านการผลิต ซึ่งเทคโนโลยีอันชาญฉลาดอย่าง RFID ช่วยให้เราเชื่อมต่อกับชิ้นส่วนเครื่องบิน และช่วยสร้าง Internet of Things (IoT) ให้กับแอร์บัส ตรงจุดนี้เองที่ฟูจิตสึเข้ามาช่วยเราติดตามได้ทั้งกระบวนการ การสร้างและให้บริการเครื่องบินโดยสารสมัยใหม่ถือเป็นธุรกิจที่มีความซับซ้อน ท้าทาย และมีต้นทุนที่สูง"

 

เมื่อ 40 ปีที่แล้วแอร์บัสผลิตเครื่องบิน 10 ลำต่อปี กระทั่งกลายมาเป็น 629 ลำในปี 2015 และจะก้าวถึง 1,000 ลำในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ย้อนกลับไปในปี 2012 แอร์บัสมีการติดตามชิ้นส่วนประกอบเครื่องบินถึง 1.2 ล้านชิ้นต่อปี และจะเพิ่มขึ้นอีก 5 เท่าในอีก 5 ปีข้างหน้า หรือภายในปี 2017

 

ชิ้นส่วนประกอบของเครื่องบินมีวงจรชีวิตยาวนานหลายสิบปี เริ่มต้นตั้งแต่การออกแบบ การผลิต การซ่อมแซม และการกำจัดทิ้งชิ้นส่วนทุกชิ้นต้องมีการจัดการอย่างละเอียดรอบคอบ และความปลอดภัยก็เป็นเรื่องสำคัญที่สุดในวงการการบิน ดังนั้น การติดตามกระบวนการทำงานให้ได้ทุกขั้นตอนจึงมีความจำเป็นอย่างมาก ซึ่งการจัดการและการติดตามชิ้นส่วนถือเป็นความท้าทายที่มีความซับซ้อน และไม่สามารถมีข้อผิดพลาดได้

 

ในการบำรุงรักษา เครื่องบินต้องปราศจากความผิดพลาดอย่างสิ้นเชิง โดยตลอดอายุการทำงานของเครื่องบินลำหนึ่งจะมีข้อมูลสะสมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในส่วนของการผลิตก็มีความท้าทายเช่นกัน โดยแอร์บัสได้กระจายการผลิตไปตามภูมิภาคต่างๆ อาทิ เครื่องบิน A380 ผลิตมาจากส่วนประกอบชิ้นย่อยๆ มาประกอบกัน ซึ่งส่วนประกอบเหล่านี้ทำมาจากโรงงานอุตสาหกรรมในประเทศฝรั่งเศส เยอรมัน สเปน และอังกฤษ โดยต้นทุนของการประกอบเครื่องบิน 1 ลำ จะอยู่ที่ประมาณ 428 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 15,000 ล้านบาท)

 

ในอดีตการนำข้อมูลเข้ามาในระบบนั้นมักจะต้องอาศัยกระบวนการทางเอกสารเป็นหลัก และการปฏิบัติการขององค์กรที่มีความซับซ้อนขึ้น ส่งผลให้การจัดการกับข้อมูลเหล่านี้ก็ทวีความยากและกลายเป็นสิ่งที่ท้าทายมากขึ้นตามไปด้วย ตัวอย่างเช่น การจัดเก็บสินค้า ซึ่งเป็นส่วนที่มีค่าใช้จ่ายสูง ดังนั้น การปรับกระบวนการทำงานสู่ระบบดิจิตอลก็เพื่อตอบโจทย์ความท้าทายดังกล่าว และการมีห่วงโซ่อุปทานที่มีประสิทธิภาพจึงจำเป็นต่อการดำเนินการทางธุรกิจประเภทนี้

 

แอร์บัส มีการใช้งานเทคโนโลยีระบุข้อมูล ด้วยคลื่นความถี่วิทยุ หรือ RFID (Radio Frequency Identification) ในวงจรการผลิตทั้งวงจร ทั้งนี้ เพื่อได้เห็นภาพการผลิตอัตโนมัติแบบเรียลไทม์ พร้อมกับกระชับกระบวนการทำงานและลดของเสีย ช่วยให้มีการผนึกข้อมูล เช่น เลขชิ้นส่วน เลขเครื่อง วันที่ผลิต และแม้แต่ประวัติการผลิตเข้ากับชิ้นส่วนประกอบเครื่องบินทุกชิ้น ทั้งในรูปแบบดิจิตอลและอิเล็กทรอนิกส์

 

เครื่องบินรุ่นต่อไปของแอร์บัสอย่าง A350 XWB จะสร้างขึ้นมาจากส่วนประกอบกว่า 2,000 ชิ้น ซึ่งมีแท็ก RFID ติดมาด้วยทุกชิ้น แอร์บัสได้ขยายให้มีการใช้ชิ้นส่วน RFID แบบถาวร เพื่อใช้เป็นเครื่องหมายบอกรายละเอียดกับชิ้นส่วนทุกชิ้นที่ติดตามได้ของเครื่องบินทุกลำในตระกูลเครื่องบินของบริษัทฯ และในปี 2014แอร์บัสได้เปิดตัวโครงการเปลี่ยนป้ายชื่อแบบเดิมที่ติดไว้กับส่วนประกอบทุกส่วนที่ผลิตในบริษัทฯ ให้เป็นป้ายชื่อที่มี RFID อันเป็นมาตรฐานใหม่

 

นายไนแซม กล่าวว่า "แอร์บัสมองการดำเนินงานนี้เหมือนกับการสร้างเครื่องบินลำหนึ่งในยุค 80 เราสร้างเครื่องบินพาณิชย์ Fly-by-wire รุ่น A320 และสิ่งที่เราทำตอนนี้เหมือนกับที่เราสร้างเครื่องบินรุ่นนั้นในตอนนั้น ตอนนี้เรากำลังสร้างห่วงโซ่คุณค่าแบบ Fly-by-wire ซึ่งก็คือห่วงโซ่คุณค่าในรูปแบบดิจิตอลนั่นเอง"

 

แท็ก RFID ที่ใช้ติดส่วนประกอบเครื่องบินจะต้องมีความแข็งแรงและยืดหยุ่นสูงในสภาพแวดล้อมที่มีความเสี่ยง แต่จะต้องมีน้ำหนักเบา โดยแท็กของฟูจิตสึนั้นผ่านเกณฑ์การพิจารณาในเรื่องของการทนทานต่อสภาวะที่มีความเสี่ยงในทุกๆ ด้าน ส่งผลให้แอร์บัสเลือกฟูจิตสึเป็นผู้จัดหาฉลาก RFID และยังเป็นผู้ให้บริการโซลูชั่นการเข้ารหัสและการพิมพ์ข้อมูล RFID ด้วย

 

ในอดีตการตรวจสอบที่นั่งและชิ้นส่วน พร้อมกับบันทึกหมายเลขเครื่องและจุดติดตั้งนั้น ต้องใช้เวลาหลายชั่วโมง ยิ่งไปกว่านั้นข้อมูลจะพิมพ์เข้าระบบด้วยมือ และต้องมีการตรวจสอบอ้างอิง เพื่อหาความคลาดเคลื่อน แต่ด้วยเทคโนโลยี RFID กระบวนการนี้จะใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที ส่งผลให้มีประสิทธิภาพการทำงานมากขึ้น และความผิดพลาดที่เกิดจากการพิมพ์ข้อมูลเข้าระบบด้วยมือลดลง ที่สำคัญก็คือข้อมูลสามารถแชร์และตรวจสอบได้ทันที

 

ส่วนประกอบทุกชิ้นได้รับการจัดการและติดตาม ผ่านสายการผลิต แอร์บัสสามารถระบุสถานที่การจัดเก็บส่วนประกอบทุกประเภทและสถานะได้ จึงสามารถทำการปรับปรุงการควบคุมชิ้นส่วนให้ดียิ่งขึ้น ย่นระยะเวลาการจัดหาอุปกรณ์ล่วงหน้า และขจัดการซื้อชิ้นส่วนซ้ำซ้อน

 

นอกจากนี้ ยังมีการลดจำนวนงานค้างและความล่าช้าที่ไม่จำเป็นลงอย่างมาก โดยประโยชน์ที่เห็นชัดนั้นมาในรูปแบบของผลิตผลที่เพิ่มขึ้นและระยะเวลาการผลิตที่ลดลง ซึ่งหมายถึงการลดค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บสินค้าและมีเงินสดหมุนเวียนดีขึ้น ข้อมูลที่มีคุณภาพเพิ่มขึ้นหมายถึงกระบวนการประกอบสินค้านั้นมีปัญหาและความผิดพลาดที่น้อยลง โดยมีการคาดการณ์ว่าเทคโนโลยี RFID จะช่วยลดต้นทุนการจัดเก็บสินค้าได้ถึง 20%

 

ปัจจุบันแอร์บัสสามารถมองเห็นภาพห่วงโซ่คุณค่าของตนเองได้ในแบบเรียลไทม์ โดยข้อมูลนี้ก่อให้เกิดความเข้าใจภาพการผลิตในแบบลึกซึ้ง ซึ่งจะสร้างประโยชน์กับธุรกิจในอนาคต

 

การปรับใช้โซลูชั่น RFID และเซ็นเซอร์กับอุตสาหกรรมประเภทอื่นในการส่งเสริมการใช้งาน RFID ในวงการการบิน ได้มีการจัดตั้งคณะทำงานโดยสมาคมการขนส่งทางอากาศแห่งสหรัฐอเมริกา หรือ ATA (Air Transport Association of America) ซึ่งเป็นผู้นำการริเริ่มการจัดทำมาตรฐานรูปแบบข้อมูล RFID โดยฟูจิตสึได้เข้าร่วมคณะทำงานนี้ตั้งแต่ปี 2007 และมีส่วนร่วมในกระบวนการจัดตั้งมาตรฐาน RFID ที่มีชื่อว่า ATA Spec 2000

 

ฟูจิตสึ เป็นผู้ผลิตแท็ก RFID และอุปกรณ์ด้านไอทีที่ใช้ในวงการการบิน รวมถึงเครื่องอ่านที่ใช้อ่านคลื่นความถี่ RFID ที่มีความแตกต่างในแต่ละประเทศ และมิดเดิลแวร์ที่ใช้ในการคงสภาพข้อมูลให้สมบูรณ์ นอกจากนี้ การสนับสนุนธุรกิจทั่วโลกของฟูจิตสึยังช่วยหนุนโครงสร้างพื้นฐานระบบข้อมูลแบบกระจาย และจากผลงานอันดีของฟูจิตสึในวงการการบิน จึงทำให้ฟูจิตสึได้ร่วมมือกับพันธมิตรและลูกค้าในอุตสาหกรรมใหญ่ๆ ทั่วโลก และมีการให้บริการโซลูชั่น RFID และเซ็นเซอร์กับอุตสาหกรรมอื่นๆ อีกด้วย

 

Tags : อุตสาหกรรม, ข่าวอุตสาหกรรม, สื่ออุตสาหกรรม, โรงงาน, เครื่องจักรกล, การผลิต, พลังงาน, โลจิสติกส์, Industry, Industrial, Industrial News, Industrial Media, Factory, Machinery, Machine, Manufacturing, Energy, Logistics