MANUFACTURING

SKN วางเป้าเร่งอัตราการใช้กำลังการผลิตไลน์ที่ 2 ให้ถึง 70% คาดโรงงานกาวแล้วเสร็จปี 2563
POSTED ON 20/11/2561


Tags : อุตสาหกรรม, ข่าวอุตสาหกรรม, สื่ออุตสาหกรรม, โรงงาน, เครื่องจักรกล, การผลิต, พลังงาน, โลจิสติกส์, Industry, Industrial, Industrial News, Industrial Media, Factory, Machinery, Machine, Manufacturing, Energy, Logistics

บมจ.ส.กิจชัย เอ็นเตอร์ไพรส์ เผยเครื่องจักรไลน์ที่ 2 เริ่มเดินหน้าแล้ว เร่งกำลังการผลิจได้ถึง 70% รองรับความต้องการของลูกค้าได้มากขึ้น พร้อมรุกตลาดใหม่ ส่วนโรงงานกาวคาดจัดตั้งโรงงานแล้วเสร็จปี 2563

 

นายหาญศิริ แสงวงศ์กิจ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บมจ.ส.กิจชัย เอ็นเตอร์ไพรส์ (SKN) ผู้ผลิตและส่งออกแผ่นไม้เอ็มดีเอฟชั้นนำของประเทศไทย เปิดเผยว่า ขณะนี้เครื่องจักรไลน์การผลิตใหม่ที่ 2 ได้เริ่มเดินเครื่องผลิตเชิงพาณิชย์เป็นที่เรียบร้อย และจะสามารถเร่งอัตราการใช้กำลังการผลิต (Utilization Rate) ในเครื่องจักรใหม่ได้ถึง 70% ภายในไตรมาสที่ 4/61 ขณะที่เครื่องจักรไลน์ที่ 1 ปัจจุบันใช้อัตราการใช้กำลังการผลิตได้สูงต่อเนื่องในระดับ 90% โดยการเริ่มเดินเครื่องของไลน์การผลิตที่ 2 ทำให้บริษัทมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 500,000 ลูกบาศก์เมตรต่อปี จากเดิมมีกำลังการผลิตเพียง 240,000 ลูกบาศก์เมตรต่อปี เพิ่มศักยภาพการแข่งขัน รองรับคำสั่งซื้อส่วนเกินของลูกค้าเดิม และสามารถขยายตลาดใหม่

 

ส่วนความคืบหน้าบริษัทย่อยเพื่อดำเนินโครงการโรงผลิตกาว สำหรับเป็นแหล่งวิจัยและพัฒนาสูตรกาวต่าง ๆ จำหน่ายให้แก่บริษัทฯ และจำหน่ายให้บุคคลภายนอก คาดจัดตั้งโรงงานแล้วเสร็จภายในปี 2563 ตามแผน เข้ามาเสริมศักยภาพการเติบโตของธุรกิจให้แข็งแกร่งระยะยาว

สำหรับผลการดำเนินงานประจำงวดไตรมาส 3/2561 บริษัทฯ มีรายได้รวม 434.68 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 43.25 ล้านบาท หรือคิดเป็น 11.05% เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่ 391.43 ล้านบาท กำไรสุทธิเท่ากับ 63.18 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.41% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่ 53.82 ล้านบาท

 

ด้านผลการดำเนินงานประจำงวด 9 เดือนแรกของปี 2561 บริษัทฯ มีรายได้รวม 1,188.01 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 46.80 ล้านบาท หรือคิดเป็น 4.10% เทียบกับงวดเดียวเดียวกันของปีก่อนหน้าทำได้ 1,141.27 ล้านบาท จากปริมาณการขายแผ่นไม้เอ็มดีเอฟเพิ่มขึ้น ประกอบกับเทอมการขายแบบ CNF ที่เพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ดี เนื่องจากรายได้จากการขายส่วนใหญ่กว่า 90% ของบริษัทฯ เป็นรายได้จากการส่งออก จึงได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ส่งผลให้รายได้จากการขายเพิ่มขึ้น 3.54% ส่วนรายได้อื่น เพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากปีก่อนหน้าที่ 54.60% จากดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร และมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่เพิ่มขึ้น ด้านกำไรสุทธิอยู่ที่ 146.11 ล้านบาท ลดลงจากระดับกำไรสุทธิ 157.53 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อน

 

"ผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2561 เป็นที่น่าพอใจ แม้รายได้รวมเพิ่มขึ้นไม่มาก ซึ่งเป็นผลจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าในช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากเราส่งออกสินค้าไปยังต่างประเทศมากกว่า 97% ทั้งนี้ เรายังได้ทำการศึกษาแผนการขยายฐานลูกค้าในกลุ่มประเทศใหม่เพิ่มเติม พร้อมพัฒนาสินค้า(R&D) ผลิตภัณฑ์ไม้ชนิดอื่น เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างครอบคลุมมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ไลน์การผลิตใหม่แห่งที่ 2 เดินเครื่องผลิตเชิงพาณิชย์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว สามารถรองรับออร์เดอร์สินค้าที่เข้ามาได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ" นายหาญศิริ กล่าว