MANUFACTURING

โตโยต้า เร่งตั้งโรงงานผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ไฮบริดในไทย
POSTED ON 17/09/2561


Tags : อุตสาหกรรม, ข่าวอุตสาหกรรม, สื่ออุตสาหกรรม, โรงงาน, เครื่องจักรกล, การผลิต, พลังงาน, โลจิสติกส์, Industry, Industrial, Industrial News, Industrial Media, Factory, Machinery, Machine, Manufacturing, Energy, Logistics

 

 

นายนินนาท ไชยธีรภิญโญ ประธานคณะกรรมการ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยว่า หลังจากโตโยต้า C-HR ออกสู่ตลาด ทำให้มียอดขายรุ่นไฮบริดที่มีส่วนผสมระหว่างเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าพุ่งสูงถึง 70% แตกต่างจากก่อนหน้านี้ที่ได้รับความนิยมจากลูกค้าเพียงแค่ 10% เท่านั้น

 

“แต่เนื่องจากเราติดปัญหาการซัพพลายแบตเตอรี่ไฮบริดจากบริษัทแม่ไม่เพียงพอ และไม่แค่เฉพาะในประเทศไทย แต่เป็นเหมือนกันทั่วโลก ทั้งที่จริง ๆ แล้วรถยนต์ C-HR ควรจะขายได้มากกว่านี้ โดยตอนนี้เรากำลังค่อย ๆ แก้ปัญหาอย่างเป็นขั้นตอนอยู่ อีกทั้งเรายังได้เพิ่มความเร็วในการลงทุนโรงงานผลิตแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฮบริด โดยเมื่อปลายปีที่แล้วโตโยต้าได้ยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอมูลค่า 20,000 ล้านบาท คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในกำหนด 2 ปี คือในปี 2562” นายนินนาท กล่าว

 

ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังได้ลงทุนตั้งโรงงานทำลายซากรถยนต์ที่ไม่ใช้แล้วรวมถึงแบตเตอรี่แห่งแรกของประเทศไทยขึ้นที่นิคมอุตสาหกรรมในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) จ.ชลบุรี ซึ่งขณะนี้ได้เริ่มเปิดให้บริการแล้ว โดยมีการนำรถยนต์ทดลองประกอบของโตโยต้าที่ไม่ใช้แล้ว เข้ากระบวนการทำลายซากไปแล้วจำนวน 100 คัน นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังเปิดกว้างสำหรับค่ายรถยนต์ต่าง ๆ ที่ต้องการนำซากรถยนต์หรือแบตเตอรี่ไฮบริด มาดำเนินการใน 3 ขั้นตอน ดังนี้

 

1.rebuilt จากเดิมที่ต้องส่งไปทำลายที่ประเทศเบลเยียม โดยนำแบตเตอรี่มาเปิดฝาดูว่าเซลล์จำนวน 28 เซลล์ มีเซลล์ใดใช้ได้ เซลล์ใดต้องทำลาย

 

2.reused คือตรวจสอบสภาพแบตเตอรี่ว่ายังสามารถใช้ต่อได้หรือไม่ ถ้าได้ จะนำไปใช้ในโรงงานเพื่อทำเป็นโซลาร์รูฟท็อป

 

3.recycle ด้วยการเอาวัสดุที่มี เช่น นิกเกิล, ตะกั่ว, ทองแดง ออกมาเพื่อเก็บไปใช้ประโยชน์อื่น ๆ ต่อไป

 

สำหรับโรงทำลายซากรถยนต์และแบตเตอรี่นั้น ทางบริษัทฯ ได้ศึกษาโมเดลจากญี่ปุ่นที่มีการจัดตั้งเป็นกองทุนกำจัดซากรถซึ่งรัฐบาลเป็นผู้ตั้งขึ้น โดยผู้ซื้อรถจะต้องจ่ายเงินเข้ากองทุนมูลค่า 10,000 เยน หรือราว 2,900 บาท โดยในจำนวนนี้แบ่งเป็นเงินสำหรับการทำลายแบตเตอรี่ 4,000 เยน (1,170 บาท) และการทำลายชิ้นส่วนต่าง ๆ อีก 6,000 เยน (1,730 บาท) ซึ่งถือเป็นแนวทางที่ดีที่อาจจะนำมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับประเทศไทยในอนาคต

 

ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ