HOT

ศูนย์ฯไครโซไทล์ เผย ผลศึกษาแร่ใยหินของ มสธ. ไม่ชัดเจน
POSTED ON 04/02/2558


ข่าวอุตสาหกรรม - นายเมธี อุทโยภาส ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กร ศูนย์ข้อมูลไครโซไทล์ เปิดเผยว่า ได้ทำหนังสือถึง "นายจักรมณฑ์ ผาสุกวนิช" รมว.อุตสาหกรรม เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายในการจัดทำแผนยกเลิกการใช้แร่ใยหินในผลิตภัณฑ์ที่มีแร่ใยหินเป็นส่วนประกอบ ซึ่งจัดทำโดย มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (มสธ.) ที่กระทรวงอุตสาหกรรมใช้เป็นข้อมูลและแผนนำไปสู่การยกเลิกแร่ใยหิน

 

แม้ว่ามติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 2 ธ.ค.2557 จะเห็นชอบให้กระทรวงสาธารณสุขไปดำเนินการศึกษาผลกระทบด้านสุขภาพให้ชัดเจน และนำกลับมาสู่การพิจารณาอีกครั้งก็ตาม แต่เนื่องจากว่าทางกระทรวงอุตสาหกรรมยังยึดข้อมูลการศึกษาเดิมอยู่ โดยมีแผนที่จะยกเลิกใช้แร่ใยหินไครโซไทล์กับสินค้า 6 รายการ แบ่งเป็น 2 กลุ่ม โดยกำหนดให้ยกเลิกใช้แร่ใยหินเป็นวัตถุดิบภายใน 5 ปี ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 12 เม.ย.2554 เกี่ยวกับมาตรการทำให้สังคมไทยไร้แร่ใยหิน

 

โดยทางศูนย์ข้อมูลไครโซไทล์ ในฐานะองค์กรอิสระในการเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับแร่ใยหินในประเทศไทย เห็นว่า ข้อมูลที่กรมโรงงานอุตสาหกรรมจ้างให้ มสธ.ศึกษานั้น ยังมีความคลาดเคลื่อน ไม่สมบูรณ์ และขัดหลักทางกฎหมาย ไม่สามารถนำไปใช้ในการอ้างอิงได้ เนื่องจากไม่มีการทำการศึกษาว่าผลิตภัณฑ์ที่มีแร่ใยหินเป็นส่วนประกอบมีความเป็นอันตรายต่อสุขภาพจริงหรือไม่ และกระทบต่อสุขภาพของประชาชนกลุ่มใด แต่กลับมุ่งพิจารณาเพียงว่ารัฐจะยกเลิกการนำเข้าและการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีแร่ใยหินเป็นส่วนประกอบอย่างไรและเมื่อใดเท่านั้น

 

ทางศูนย์ฯ ยังยืนยันว่าผลิตภัณฑ์ที่ใช้ทดแทนผลิตภัณฑ์ที่มีแร่ใยหินเป็นส่วนประกอบนั้นไม่สามารถทดแทนได้อย่างสมบูรณ์ ทั้งในแง่ของคุณภาพและราคา อีกทั้งอ้างว่าได้ศึกษาการควบคุมแร่ใยหินไครโซไทล์และแนวทางลด ละ เลิก ใช้แร่ใยหินไครโซไทล์ในการผลิตผลิตภัณฑ์ของต่างประเทศ แต่ไม่ปรากฏว่ามีการอ้างอิงเอกสารทางวิชาการแต่อย่างใด จึงไม่สามารถตรวจสอบความน่าเชื่อถือของผลการศึกษาได้ ประกอบกับไม่มีการอ้างอิงผลการศึกษาหรืองานวิจัยเกี่ยวกับอันตรายของแร่ใยหินไครโซไทล์ที่มีต่อสุขภาพของคนไทย

 

นอกจากนี้ ผลการศึกษามุ่งนำเสนอเพียงแนวทางการป้องกันอันตรายที่มีความรุนแรงมากที่สุด ที่จะให้ภาครัฐยกเลิกการใช้แร่ใยหิน โดยไม่ได้เสนอแนะแนวทางในการปรับปรุงหรือพัฒนาการป้องกันอันตรายจากแร่ใยหินไครโซไทล์โดยวิธีการอื่น ที่อาจให้ประสิทธิผลเท่าเทียมกัน โดยมีต้นทุนต่อภาครัฐที่น้อยกว่า เช่น การกำหนดมาตรฐานความปลอดภัยในโรงงาน เพื่อคุ้มครองคนงาน เป็นต้น ประกอบกับไม่ได้จัดลำดับความสำคัญของผลิตภัณฑ์แต่ไปพิจารณาความเสี่ยงต่อสุขภาพเป็นเกณฑ์ เพียงมุ่งให้เร่งรัดการยกเลิกแต่เพียงการนำเข้าและการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีแร่ใยหินอย่างเดียว โดยไม่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ที่ยืนยันถึงความเป็นอันตรายต่อสุขภาพของแร่ใยหิน หรือความปลอดภัยของวัสดุทดแทน

 

ที่สำคัญการนำผลการศึกษามาใช้ขัดหลักทางกฎหมาย อันเป็นหลักการพื้นฐานของการกระทำทางปกครอง ในการก้าวล่วงสิทธิหรือสร้างภาระให้แก่ประชาชน แม้จะมีกฎหมายอนุญาตให้ทำได้ก็ตาม แต่รัฐต้องดำเนินการนั้นโดยพอสมควรแก่เหตุ ซึ่งการยกเลิกแร่ใยหินไครโซไทล์ภายในระยะเวลา 5 ปี โดยไม่ได้ประเมินมาตรการอื่นที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนน้อยกว่า อีกทั้งการยกเลิกการนำเข้าการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีแร่ใยหินเป็นส่วนประกอบจะส่งผลกระทบทั้งทางด้านเศรษฐกิจและสังคมในวงกว้าง เช่น ค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนกระเบื้องมุงหลังคาของประชาชนทั้งประเทศ ที่อาจมีมูลค่าถึง 4.06 แสนล้านบาท รัฐอาจสูญเสียมูลค่าการส่งออกสินค้าประมาณปีละ 700 - 2,000 ล้านบาท ผู้ผลิตต้องลงทุนในการเปลี่ยนเทคโนโลยีใหม่ ซึ่งอาจส่งผลให้มีการลดการจ้างงานจำนวนหลายพันอัตราได้

 

นอกจากนี้ การบังคับให้ผู้บริโภคใช้ผลิตภัณฑ์ทดแทนซึ่งมีคุณภาพด้อยกว่าและราคาแพงกว่านั้น ก็ยังไม่มีงานวิจัยใดๆ ยืนยันว่าสารทดแทนจะมีความปลอดภัยต่อสุขภาพมากกว่าผลิตภัณฑ์ที่มีแร่ใยหินเป็นส่วนประกอบ

 

แหล่งข่าวจากกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า หลังจากที่ นายพสุ โลหารชุน อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) ได้รับหนังสือดังกล่าวแล้ว ได้มีการนัดทางศูนย์ข้อมูลไครโซไทล์เข้าหารือเพื่อชี้แจงข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบในการพิจารณาแผนยกเลิกแร่ใยหินของกรมโรงงานอุตสาหกรรมต่อไป

 

ที่มา : ฐานเศรษฐกิจ