FINANCE & INVESTMENT

TMI เล็งหาโครงการใหม่ดันผลงานในอนาคตแกร่ง
POSTED ON 21/09/2561


Tags : อุตสาหกรรม, ข่าวอุตสาหกรรม, สื่ออุตสาหกรรม, โรงงาน, เครื่องจักรกล, การผลิต, พลังงาน, โลจิสติกส์, Industry, Industrial, Industrial News, Industrial Media, Factory, Machinery, Machine, Manufacturing, Energy, Logistics

 

 

นายธีระชัย ประสิทธิ์รัตนพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ธีระมงคล อุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) หรือ TMI เปิดเผยว่า ในขณะนี้บริษัทฯ ยังมองหาโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง เพื่อเริ่มต้นธุรกิจพลังงาน และเป็นการช่วยสนับสนุนผลการดำเนินงานในอนาคตให้มีการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังต้องพิจารณาอัตราผลตอบแทน (IRR) ควบคู่ไปด้วย

 

โดยก่อนหน้านี้บริษัทฯ ได้มีการให้ บริษัท ธีระมงคล กรีน เอนเนอร์ยี จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อย เข้าลงทุนซื้อหุ้น 100% ในบริษัท กรีน เซฟวิ่ง เอนเนอร์ยี่ ไทยแลนด์ จำกัด ซึ่งดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซชีวภาพ ขนาด 1.4 เมกะวัตต์ (MW) ใน จ.ชุมพร มูลค่ารวมประมาณ 79.99 ล้านบาท หลังตรวจสอบมูลค่าสินทรัพย์ (Due Diligence) เห็นว่าเหมาะสม โดยคาดว่าจะเริ่มทยอยรับรู้รายได้ตั้งแต่ไตรมาส 3/2561 และการลงทุนครั้งนี้จะช่วยต่อยอดธุรกิจ เพิ่มโอกาสทางธุรกิจด้านพลังงาน เพื่อการเติบโตทางธุรกิจอย่างมั่นคงในอนาคต

 

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 31 ส.ค.2561 การ Due Diligence เพื่อเข้าทำรายการซื้อหุ้นกิจการ บริษัท กรีน เซฟวิ่ง เอนเนอร์ยี่ ไทยแลนด์ จำกัด ได้ดำเนินการเสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และบริษัทฯ ได้ทำการจ่ายชำระเงินค่าหุ้นทั้งหมดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยภายหลังจากการเข้าทำ Due Diligence ผู้ขายได้เสนอส่วนลดให้กับทาง บริษัท ธีระมงคล กรีน เอนเนอร์ยี จำกัด เป็นจำนวน 5 ล้านบาท ทำให้จำนวนเงินลดลงเหลือประมาณ 79.99 ล้านบาท จากเดิมประมาณ 84.99 ล้านบาท

 

อีกทั้งบริษัทฯ มีแหล่งเงินทุนในการลงทุนดังกล่าว มาจากเงินทุนหมุนเวียนของ บริษัท ธีระมงคล กรีน เอนเนอร์ยี จำกัด จำนวน 5 ล้านบาท และเงินกู้ยืมจากบริษัทฯ ประมาณ 74.99 ล้านบาท โดยมีระยะเวลาเงินกู้ 10 ปี สำหรับเงื่อนไขการกู้ยืนเงิน อยู่ระหว่างการพิจารณาร่วมกันระหว่างบริษัท และบริษัทย่อย

 

ปัจจุบัน บริษัท กรีน เซฟวิ่ง เอนเนอร์ยี่ ไทยแลนด์ จำกัด ซึ่งดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซชีวภาพขนาด 1.4 เมกะวัตต์ ได้ทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) เป็นสัญญาซื้อขายไฟฟ้าในระบบ Feed-in Tariff โดยมีราคาขายไฟฟ้า Feed-in Tariff (Fix) ที่ 3.76 บาทต่อหน่วย และ Feed-in Tariff (Premium) ที่ 0.50 บาทต่อหน่วย รวมได้รับราคาขายไฟฟ้าทั้งสิ้น 4.26 บาทต่อหน่วย มีอายุสัญญา 20 ปี เริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 20 เม.ย.2558 และจะสิ้นสุดในวันที่ 19 เม.ย.2578 และดำเนินการผลิตกระแสไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคมาตั้งแต่เดือน เม.ย.2558 จนถึงปัจจุบัน โดยสัญญาซื้อขายไฟฟ้า สิ้นสุด ณ วันที่ 19 เม.ย.2578 จึงเหลืออายุสัญญา 17 ปีโดยประมาณ

 

"ปีนี้เรามองว่าเป็นปีแห่งการลงทุนของบริษัท ทำให้เราเดินหน้าเข้าไปในธุรกิจพลังงาน ซึ่งหลังจากได้โรงไฟฟ้าก๊าซชีวภาพ ขนาด 1.4 เมกะวัตต์มาแล้ว และเรายังมองหาโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยส่งเสริมการเติบโตในอนาคต แต่ก็ต้องดู IRR ควบคู่กับการลงทุนไปด้วย เพื่อสร้างผลการตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้น" นายธีระชัย กล่าว