ENVIRONMENT

ภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ร่วมมือกันลดก๊าซเรือนกระจก
POSTED ON 03/10/2562


 

 

ทส.ปลุกกระแส "หยุดปล่อยก๊าซเรือนกระจก" ตัวการภัยพิบัติทางธรรมชาติ พร้อมสั่งศึกษาออกกฎหมาย "ลดโลกร้อน" รับมือเป็นการเฉพาะ มอบ อบก. หัวหอกปลุกพลังความร่วมมือ ภาครัฐ-เอกชน- ประชาชนตื่นตัวเหมือน “ขยะพลาสติก” นายธเนศพล ธนบุณยวัฒน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เปิดเผยว่าจากนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมของ นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่เน้นสร้างการมีส่วนร่วม และการบูรณาการระหว่างหน่วยงานทั้งภายในและนอก เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจและผลกระทบของ "ก๊าซเรือนกระจก" ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ทำให้อุณหภูมิโลกเฉลี่ยสูงขึ้น ส่งผลต่อระบบนิเวศทางธรรมชาติ และเป็นสาเหตุสำคัญทำให้เกิดภัยพิบัติต่าง ๆ เช่น พายุ น้ำท่วม และ ภัยแล้งฉับพลันและรุนแรง จะเห็นได้จาก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และ ภาคเหนือ ที่ในช่วง 1-2 เดือนก่อนที่เผชิญปัญหาภัยแล้ง แต่เพียงเดือนเศษกลับประสบปัญหาน้ำท่วมฉับพลัน

“ดังนั้น เพื่อให้เกิดการแก้ไขและพัฒนาด้านสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนนั้นตามนโยบายของท่านรัฐมนตรีฯ จึงต้องเร่งสร้างกระแสให้เกิดการตื่นตัวในการร่วมมือกัน “ลดก๊าซเรือนกระจก” ให้เหมือนกับการลดปัญหา "ขยะพลาสติก" ที่ส่งผลร้ายต่อสัตว์ทะเลและสิ่งแวดล้อม เพื่อให้ประเทศไทยมีความพร้อมในการรับมือกับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยต้องร่วมมือกันทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และ ภาคประชาชน ให้ร่วมกันลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในทุกรูปแบบทั้งในรูปแบบ ทั้ง "กึ่งบังคับ" และ "สมัครใจ"

ทั้งนี้ ประเทศไทยต้องเร่งดำเนินการโดยเฉพาะความร่วมมือกับผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรม ตัวอย่างเช่น โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ต้องส่งเสริมสนับสนุนให้ภาคอุตสาหกรรมนำนวัตกรรม และ เทคโนโลยี อันทันสมัยมาร่วมกันลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทั้งด้านการใช้วัสดุ หรือ พลังงานสะอาด เพื่อนำไปสู่การเป็น Low Carbon City ถือเป็นสิ่งสำคัญที่ประเทศไทยต้องดำเนินการ เพราะได้ให้สัตยาบันเข้าร่วมเป็นรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติ ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (United Nations Framework Convention on Climate Change) หรือ อนุสัญญา UNFCCC

ปัจจุบันมีประเทศเข้าร่วมกว่า 196 ประเทศทั่วโลก ร่วมกันลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพราะภาวะอุณหภูมิโลก ที่สูงขึ้นย่อมเกิดอันตรายต่อระบบนิเวศ และความเป็นอยู่ของประชาชน ตัวอย่างเช่น ธารน้ำแข็งขั้วโลกกำลังละลายทำให้ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้น หรือ อุ่นขึ้น ส่งผลต่อระบบนิเวศทางทะเลเปลี่ยนแปลงไปอาจทำให้สัตว์หรือปะการังทะเลได้รับอันตรายและเสียหาย รวมถึงอุณหภูมิที่สูงขึ้นยังส่งผลร้ายต่อความหลากหลายทางชีวภาพสัตว์ หรือ พืชสายพันธุ์ต่างๆ ที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์อีกด้วย

นายธเนศพล กล่าวว่า ได้มอบหมายให้หน่วยงานภายใต้กำกับกระทรวงฯ คือ "องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน)" หรือ อบก. รับผิดชอบหลักเรื่องการรณรงค์ลดก๊าซเรือนกระจกผ่านการสร้างความร่วมมือต่อภาคเอกชน และสร้างการรับรู้แก่ภาคประชาชน พร้อมกับเร่งผลักดัน "เชิงกฎหมาย" เพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน เช่น ส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด หรือ การลดผลกระทบฝุ่นผลกระทบขนาดเล็ก หรือ PM2.5 ตัวการสำคัญของปัญหาก๊าซเรือนกระจก แนวทางการรับมือสถานการณ์หมอกควันจากไฟไหม้ป่าบนเกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย ที่ปกคลุมในหลายพื้นที่ของภาคใต้ยังคงวิกฤต โดยเฉพาะที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ณ ขณะนี้ “ถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยต้องเตรียมศึกษาข้อกฎหมายจากประสบการณ์ในต่างประเทศประกอบการพิจารณาให้สอดคล้องกับสภาพประเทศไทย เพราะ "กฎหมายลดก๊าซเรือนกระจก" จะเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่จะบังคับใช้เพื่อให้การดำเนินงานลดก๊าซเรือนกระจกในประเทศมีความเข้มข้นมากขึ้น แต่สิ่งสำคัญที่ต้องมีการแก้ไขอย่างเร่งด่วน คือ การสร้างความตระหนักในสังคม และในระดับนโยบาย ควรมีการทำงานที่เชื่อมโยงกันจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรธรรมชาติ ภาคอุตสาหกรรม ภาคเกษตรกรรม ต้องดำเนินยุทธศาสตร์ด้านการลดโลกร้อนอย่างจริงจัง ตลอดจนภาคประชาชนที่ต้องร่วมแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมที่พิสูจน์ได้อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งเชื่อว่าหากภาคส่วนต่างๆ ร่วมใจกัน ก็จะเป็นกำลังสำคัญที่ช่วยให้ประเทศไทยสามารถลดก๊าซเรือนกระจก และขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศไปสู่ระบบเศรษฐกิจและสังคมคาร์บอนต่ำ ได้อย่างยั่งยืน”