BUSINESS

หัวเว่ยมุ่งนำเทคโนโลยีดิจิทัลเสริมแกร่งประเทศไทยด้วยการขยายส่วนธุรกิจพลังงานดิจิทัล
POSTED ON 11/08/2564


 

 

ในขณะที่ประเทศไทยยังเป็นตลาดกลยุทธ์หลักของหัวเว่ย หัวเว่ยเตรียมพร้อมเร่งผลักดันการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลในประเทศไทยอย่างเต็มที่ ด้วยการขยายส่วนธุรกิจพลังงานดิจิทัลเป็นครั้งแรกในประเทศไทย และการลงทุนอย่างต่อเนื่องทั้งในด้าน 5G คลาวด์ และการพัฒนาทักษะดิจิทัลในประเทศ โดยหัวเว่ยจะมุ่งเสริมแกร่งประเทศไทยสู่การก้าวขึ้นเป็นดิจิทัลฮับแห่งอาเซียน และผู้นำด้านการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในอาเซียน ตามพันธกิจของหัวเว่ยในการ "เติบโตในประเทศไทยและสนับสนุนประเทศไทย"

นายเจย์ เฉิน รองประธานหัวเว่ยเอเชียแปซิฟิก ได้กล่าวถึงเทรนด์เทคโนโลยีทั่วโลกที่น่าสนใจในยุคนิวนอร์มัล (New Normal) ภายในงานสัมมนาออนไลน์ "HUAWEI Meet the Press II" ไว้ว่า "สองปีที่ผ่านมาเป็นช่วงเวลาที่ท้าทายสำหรับทุกคน การรับมือกับสถานการณ์โรคระบาดในขณะนี้ทำให้เราเห็นว่าทุกประเทศหันมาพึ่งพาเทคโนโลยีดิจิทัลมากขึ้น โดยข้อมูลจากรายงาน Global Connectivity Index ฉบับล่าสุดของหัวเว่ยระบุว่าประเทศที่มีความพร้อมทางด้าน ICT มากกว่าประเทศอื่นจะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์นี้น้อยกว่า ทั้งในแง่ของภาคสังคมและภาคเศรษฐกิจ รวมทั้งยังสามารถฟื้นตัวได้เร็วกว่า ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือตลาดประเทศไทย ที่สถานการณ์ระบาดในตอนนี้ทำให้เห็นว่าการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน ICT และเทคโนโลยีดิจิทัลอย่างเต็มที่ในช่วงก่อนหน้านี้ มีผลเป็นอย่างยิ่งกับการช่วยให้ประเทศยังคงฟื้นตัวและเดินหน้าต่อไปได้ท่ามกลางสถานการณ์วิกฤติ"

นายเจย์ เฉินได้เน้นย้ำว่าหัวเว่ยยังคงมุ่งมั่นในพันธกิจด้านการสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงสู่ยุคดิจิทัลในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งในประเด็นนี้ ประเทศไทยค่อย ๆ ก้าวขึ้นมาเป็นดิจิทัลฮับในภูมิภาคอาเซียนจากหลายองค์ประกอบ เรื่องแรกคือประเทศไทยได้พัฒนาแผนเศรษฐกิจดิจิทัลและสังคมแห่งชาติ ซึ่งมุ่งเป้าไปที่การพัฒนาการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลและการเดินตามวิสัยทัศน์ไทยแลนด์ 4.0 เรื่องที่สองคือข้อมูลอ้างอิงจาก Speedtest Global Index 2020 ระบุว่าประเทศไทยได้รับการจัดอันดับเป็นอันดับหนึ่งใน 176 ประเทศในแง่ของความเร็วอินเทอร์เน็ตแบบฟิกซ์บรอดแบนด์ ซึ่งทำให้ประเทศไทยเป็นผู้นำในแง่การวางโครงสร้างพื้นฐานสำหรับเทคโนโลยี 5G เรื่องที่สามคือประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในผู้นำด้านการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี 5G ในภาคเกษตรกรรม กาคสาธารณสุข ภาคอุตสาหกรรมการผลิต และการสร้างอีโคซิสเต็มด้านดิจิทัล นอกจากนี้ ประเทศไทยยังแสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วในด้านการบ่มเพาะบุคลากรด้านดิจิทัล ซึ่งหัวเว่ยได้มีส่วนสนับสนุนผ่านโครงการต่าง ๆ เช่น Huawei ASEAN Academy ซึ่งตั้งเป้าบ่มเพาะบุคลากรในประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคให้ได้ถึง 300,000 คนภายในระยะเวลาห้าปี และจะมีสัดส่วนในการฝึกอบรมบุคลากรในประเทศไทยคิดเป็นสัดส่วนถึงหนึ่งในสามจากจำนวนบุคลากรที่ได้รับการฝึกอบรมทั้งหมด

ด้านนายอาเบล เติ้ง ประธานกรรมการบริหาร บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับตลาดประเทศไทยว่า "หัวเว่ย ประเทศไทย ยังคงมุ่งมั่นสนับสนุนประเทศไทย คนไทย และธุรกิจไทยอย่างไม่หยุดยั้ง ตามพันธกิจในระยะยาวของเราที่ต้องการส่งมอบคุณค่าทางสังคมให้แก่ประเทศไทยใน 3 ด้านหลัก ได้แก่ กิจกรรมเพื่อสังคมของหัวเว่ยในด้านการรับมือกับโควิด-19 การบ่มเพาะอีโคซิสเต็มของการพัฒนาทักษะดิจิทัลในประเทศไทย และการสร้างอีโคซิสเต็มสำหรับกลุ่มธุรกิจเอสเอ็มอีและสตาร์ทอัพ

ทั้งนี้ หัวเว่ยยังได้ทำงานร่วมกับโรงพยาบาลในประเทศไทยอย่างใกล้ชิดในหลายโครงการตั้งแต่ช่วงแรกเริ่มของสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ได้ส่งมอบโซลูชันการใช้ AI ส่งเสริมบริการด้านการแพทย์ให้แก่โรงพยาบาลรามาธิบดีและโรงพยาบาลศิริราช ซึ่งช่วยส่งมอบผลการตรวจโควิด-19 ได้ในเวลาเพียง 25 วินาทีต่อเคส รวมทั้งได้จับมือกับสำนักงาน กสทช. เพื่อริเริ่มโครงการการใช้รถยนต์ไร้คนขับที่โรงพยาบาลศิริราช เพื่อใช้ในการขนเวชภัณฑ์ อุปกรณ์ทางการแพทย์ และลดการสัมผัส นอกจากนี้ หลังจากการระบาดของโควิดระลอกใหม่ในประเทศไทยเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา หัวเว่ยยังได้ส่งมอบระบบโทรเวชกรรมผ่านเทคโนโลยี 5G โซลูชันจัดการผู้ป่วยในพื้นที่ InPatient area Intelligent Management และโซลูชัน eLTE broadband trunking ให้แก่โรงพยาบาลสนามบางขุนเทียน คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 6 ล้านบาท และได้ทำงานร่วมกับสภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทย (DCT) เพื่อบริจาคโซลูชันคลาวด์ให้แก่โรงพยาบาลสนามธรรมศาสตร์อีกด้วย

นอกจากนี้ หัวเว่ยยังเชื่อว่าหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลขึ้นอยู่กับการวางรากฐานในด้านการพัฒนาทักษะทางดิจิทัล ซึ่งหัวเว่ยได้สนับสนุนนโยบายไทยแลนด์ 4.0 อย่างต่อเนื่อง ผ่านการบ่มเพาะทักษะดิจิทัลให้แก่บุคลากรไทย โดยตั้งแต่ปี 2562 ที่ผ่านมา หัวเว่ยได้ลงทุนอย่างต่อเนื่องเป็นเงิน 180 ล้านบาท เพื่อเปิดตัวศูนย์ Huawei ASEAN Academy และได้ฝึกอบรมบุคลากรไปแล้วกว่า 16,500 คนผ่านศูนย์ดังกล่าว

ในด้านธุรกิจเอสเอ็มอีและสตาร์ทอัพของประเทศไทย หัวเว่ยได้ร่วมมือกับภาคอุตสาหกรรม อาทิ สถาบันพัฒนาผู้ประกอบการการค้ายุคใหม่ ซึ่งอยู่ภายใต้กระทรวงพาณิชย์ ร่วมกับดีป้า (depa) สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) ลูกค้ารวมถึงพาร์ทเนอร์ในไทยเพื่อให้การสนับสนุนเอสเอ็มอีและสตาร์ทอัพในด้านการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีใหม่ ผ่านการส่งมอบความรู้ในระดับสากลและหลักสูตรการอบรมชั้นนำอย่าง Huawei ASEAN Academy ประเทศไทย เพื่อช่วยให้เอสเอ็มอีและสตาร์ทอัพมีความเข้าใจในเทคโนโลยีมากขึ้นและสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับแผนธุรกิจได้